เรื่องโดย คมชัดลึก | ภาพโดย คมชัดลึก11 สิงหาคม 2560 14:17 น.
"ศาลปกครองกลางยกฟ้อง ชี้คำสั่ง กก.ภาพยนตร์ฯ แบนหนัง
"เชคสเปียร์ต้องตาย" ชอบแล้ว พบเนื้อหาคล้ายเหตุการณ์ 6ตุลาฯ อาจสร้างความชิงชังในชาติ คณะผู้สร้างขออุทธรณ์ต่อ"
11 ส.ค. 60 - เมื่อเวลา 10.00 น. ศาลโดย น.ส.ฉัตรชนก จินดาวงศ์ ตุลาการศาลปกครองกลาง เจ้าของสำนวน
และองค์คณะ มีคำพิพากษายกฟ้อง ในคดีหมายเลขดำ 1321/2555 ที่นายมานิต
ศรีวานิชภูมิ และน.ส.สมานรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ ผู้อำนวยการสร้างและผู้กำกับภาพยนตร์
"เชคสเปียร์ต้องตาย" ยื่นฟ้องคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ,
คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์คณะที่ 3 เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-2 กรณีมีคำสั่งโดยมิชอบในการห้ามฉาย
จัดจำหน่ายภาพยนตร์เรื่อง "เชคสเปียร์ต้องตาย"
ในประเทศไทย
จึงขอให้มีคำสั่งเพิกถอนมติและคำสั่งของผู้ถูกฟ้องทั้งสอง ที่ห้ามฉาย
จัดจำหน่ายภาพยนตร์เรื่อง "เชคสเปียร์ต้องตาย" ในราชอาณาจักร และขอให้ชดใช้ค่าเสียหายจากเงินทุนที่ใช้ในการสร้างภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ
7.5 ต่อปี รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 7,530,388.55 บาท
นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด
โดยคำฟ้องระบุเหตุแห่งการฟ้องคดีว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 2
ไม่อนุญาตให้ภาพยนตร์เรื่อง "เชคสเปียร์ต้องตาย"
ซึ่งแปลจากบทประพันธ์โดยกวีเอกของโลก วิลเลียม เชคสเปียร์ เรื่อง
"โศกนาฏกรรมแม็คเบ็ธ" หรือ The Tragedy of Macbeth ให้เผยแพร่ในประเทศไทย โดยอ้างว่ามีเนื้อหาก่อให้เกิดความแตกสามัคคีระหว่างคนในชาติ
ตามกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของประเภทภาพยนตร์ 2552 ข้อ 7
(3) นั้น เห็นว่าไม่ได้เป็นไปตามข้อจำกัดในหลักการของสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคลและสื่อมวลชนตามรัฐธรรมนูญ
มาตรา 45 บัญญัติไว้ และหากจะอะลุ้มอล่วยให้เป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือเพื่อศีลธรรมอันดีของประชาชน
แต่ข้อเท็จจริงสังคมไทยมีการเข่นฆ่าประชาชนเกิดขึ้นหลายครั้งหลายหน
ทั้งเหตุการณ์ 14 ต.ค.16 , เหตุการณ์ 6 ต.ค.19 เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ
2535 และกรณีสงครามยาเสพติดที่มีผู้เสียชีวิตกว่า 2,500
คน ซึ่งเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นย่อมเป็นความรุนแรงของสังคมไทยที่มิอาจลืมเลือน
หรือปกปิดไว้ได้แต่อย่างใด โดยคนไทยสมควรเรียนรู้ร่วมกันเพื่อร่วมมือกันมิให้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นอีก
ดังนั้นภาพยนตร์ "เชคสเปียร์ต้องตาย"
จึงมิได้มีเนื้อหาที่ก่อให้เกิดความแตกสามัคคีคนในชาติตามที่อ้าง "เนื้อหาสาระของภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้มีตอนใดตอนหนี่งที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนตามที่อ้าง
เพราะเนื้อหาสาระของภาพยนตร์ดังกล่าวแปลเป็นภาษาไทยอย่างซื่อตรงต่อต้นฉบับละครเรื่อง
"โศกนาฏกรรมแม็คเบ็ธ" อันเป็นบทประพันธ์ของวิลเลียม
เชคสเปียร์ กวีเอกของโลก โดยมีการดัดแปลงเพื่อให้เป็นภาษาของภาพยนตร์และเข้ากับริบทของสังคมและวัฒนธรรมไทยเท่านั้น
การที่อ้างว่าไม่ให้ภาพยนตร์นี้ฉายก็เพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐนั้น คำว่า
"รัฐ" ย่อมหมายถึงรัฐชาติ
ไม่ได้หมายถึงรัฐบาลหนึ่งรัฐบาลใด ดังนั้น การกระหายเลือด การมักใหญ่ใฝ่สูง การงมงานในไสยศาสตร์ของตัวละครในภาพยนตร์ที่สถาปนาตนเองเป็นราชา
ซึ่งเหมือนกับผู้นำประเทศต่างๆ ในโลกแห่งความเป็นจริงของสังคม ย่อมมิได้กระทบต่อความมั่นคงของรัฐ
รวมถึงเกียรติภูมิของประเทศแต่อย่างใด เพราะรัฐบาลหนึ่งรัฐบาลใดมิได้หมายถึงประเทศชาติด้วย"
ผู้ถูกฟ้องยังระบุว่าด้วย ตนเองต้องเสียค่าใช้จ่ายในค่าตอบแทนส่วนตัวในกระบวนการผลิตภาพยนตร์จนเสร็จสิ้นอีก
2,250,000 บาท รวมถึงความเสียหายต่อชื่อเสียงค่าเสียหายจากการขาดโอกาสในการร่วมทุนสร้างภาพยนตร์กับบุคคลอื่น
แต่การสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ทั้งสองไม่ได้มีเจตจำนงในการแสวงหากำไรในการสร้างจึงไม่ติดใจที่จะเรียกค่าเสียหายในส่วนนี้จากผู้ถูกฟ้อง
ทั้งนี้องค์คณะฯ พิเคราะห์เเล้ว เห็นว่าการพิจารณาภาพยนตร์เรื่องใดเรื่องหนึ่งว่าจะเป็นสาเหตุของการเเตกความสามัคคีของคนในชาติหรือไม่นั้น
จะต้องพิจารณาสาระสำคัญทั้งเเนวความคิด เเละเเก่นสารของเรื่องที่มุ่งเน้นของภาพยนตร์
กรณีไม่อาจนำเสนอส่วนใดส่วนหนึ่งมาพิจารณาได้จะต้องพิจารณาเนื้อหาสาระสำคัญทั้งเรื่อง
โดยจากการพิจารณาบทคัดย่อประกอบกับรับชมผ่านซีดีข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า
ภาพยนตร์ดังกล่าวมีเนื้อหา เกี่ยวกับเรื่องราวตำนานแห่งการเมืองและไสยศาสตร์ที่ได้เเรงบันดาลใจ
และบทเกือบทั้งหมดมาจากต้นฉบับละคร โศกนาฏกรรมแม็คเบ็ธของวิลเลี่ยม เชคสเปียร์
และดัดเเปลงเพื่อเข้ากับบริบทวัฒนธรรมไทย เป็นเรื่องระหว่างการแสดงในโรงละครกับเหตุการณ์โลกภายนอกของประเทศสมมุติเเห่งหนึ่ง
ซึ่งเนื้อหาในโรงละครเป็นเรื่องของขุนพลกระหายเลือด มักใหญ่ใฝ่สูง งมงายไสยศาสตร์
ผู้สถาปนาตนเองเป็นกษัตริย์โดยการฆาตกรรม ซึ่งมีชื่อเรียก "ท่านผู้นำ" โดยหลังจากเรื่องภายในโรงละครจบลง ในโลกภายนอกมีกลุ่มคนที่คลั่งไคล้ท่านผู้นำ
ที่มีการแสดงละครล้อเลียนท่านผู้นำได้วิ่งกรู ทำร้ายนักแสดง ผู้กำกับละคร แล้วลากไปด้านหน้าโรงละคร
จับแขวนคอทุบตีด้วยเก้าอี้เหล็กพับ ท่ามกลางกลุ่มคนที่ส่งเสียงเชียร์
เมื่อพิจารณาภาพยนตร์ดังกล่าว แม้ผู้ฟ้องจะกล่าวว่าประเทศในละครเป็นประเทศสมมุติก็ตาม
แต่มีเนื้อหาหลายฉากคล้ายกับเหตุการณ์ความรุนแรงในประเทศไทยมิใช่ประเทศสมมุติตามที่กล่าวอ้าง
ซึ่งผู้ถูกฟ้องที่ 2เห็นว่าเหตุการณ์ดังกล่าวคล้ายกับเหตุการณ์
6 ต.ค.19 อันเป็นฉากที่ก่อให้เกิดความแตกแยกความสามัคคีคนในชาติ
เป็นฉากที่มีผู้ชายเสื้อดำโพกผ้าแดงถือท่อนไม้ทำรายคนดู จับผู้กำกับละครแขวนคอ
องค์คณะจึงเห็นว่า แม้จะมีภาพยนตร์หลายเรื่องนำประวัติศาสตร์ชาติไทยในอดีตที่มีความขัดแย้งมาสร้างก็ตาม
แต่ประวัติศาสตร์ชาติไทยในอดีตดังกล่าวเกิดขึ้นมาแล้วเป็นเวลานานหลายร้อยปีจนไม่อาจสืบสาวราวเรื่องว่าบุคคลดังกล่าวมีความสัมพันธ์เป็นญาติพี่น้องกันหรือไม่
จึงไม่ก่อให้เกิดความเคียดแค้นชิงชัง ต่างจากภาพยนตร์ผู้ฟ้องทั้งสองที่ได้มีการนำเหตุการณ์
6 ต.ค. ซึ่งเป็นเหตุการณ์ร่วมสมัยมาเป็นส่วนหนึ่งภาพยนตร์มีความยาวฉากนี้
2 นาทีเศษ ย่อมสร้างความไม่พอใจเกิดขึ้นแก่ญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิตหรือผู้ร่วมเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดความรู้สึกเคียดแค้นชิงชังอันอาจเป็นชวนสร้างความแตกแยกคนในชาติได้
ประกอบกับเมื่อมีการประชุมกับผู้ถูกฟ้องที่ 2 เมื่อวันที่ 3 เม.ย.55 ผู้ถูกฟ้องได้เเจ้งให้แก้ไขบทในฉากดังกล่าว
แต่ผู้ฟ้องทั้งสองยืนยันจะใช้บทเดิม ทั้งที่สามารถดำเนินแก้ไขได้โดยไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเนื้อหาสำคัญของเรื่อง
รวมถึงเเนวคิดด้านมืดด้านสว่างของมนุษย์ บาปบุญคุณโทษผลกรรม และการต่อสู้ระหว่างอธรรมกับธรรมมะในจิตใจคน
การที่ผู้ถูกฟ้องที่ 2ไม่อนุญาตให้ผู้ถูกฟ้องนำภาพยนตร์เรื่อง
"เชคสเปียร์ต้องตาย" ออกเผยแพร่ราชอาณาจักรจึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย
และเมื่อวินิจฉัยว่าเป็นคำสั่งที่ชอบคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องที่ 1 ให้ยกอุทธรณ์จึงชอบด้วยกฎหมายด้วยเช่นกัน
ส่วนประเด็นความเสียหายทางละเมิดเมื่อข้อเท็จจริง รับฟังได้ว่าคำสั่งของผู้ถูกฟ้องทั้งสองชอบด้วยกฎหมายการกระทำย่อมไม่เป็นการละเมิดจะต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายเเก่ผู้ฟ้องเเต่อย่างใด
จึงพิพากษาให้ยกฟ้อง
ภายหลังฟังคำพิพากษาแล้ว นายมานิต
ผู้ฟ้องซึ่งเป็นคณะผู้อำนวยการสร้างและผู้กำกับภาพยนตร์ "เชคสเปียร์ต้องตาย" กล่าวว่า จะนำคำพิพากษาไปเพื่อพิจารณาในการยื่นอุทธรณ์คดีต่อศาลปกครองสูงสุดต่อไปเพราะการที่บอกว่า
เหตุการณ์ 6 ต.ค.19 เป็นประเด็น หากลองไปเปิดในยูทูปดูจะพบเรื่องราวถึงเหตุการณ์ดังกล่าวนี่แสดงว่า
กสทช.บกพร่องในหน้าที่
ด้าน น.ส.สมานรัชฎ์ กล่าวว่า เป็นกรณีเลือกปฏิบัติ โดยหนังเรื่องนี้มีการไปฉายต่างประเทศและได้รับการวิจารณ์ที่ดี
ซึ่งข้อเท็จจริงในเนื้อเรื่องดังกล่าวก็มีในแบบเรียน เรื่องนี้เราเคยไปร้องเรียนกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนก็เคยชี้มาว่าเราถูกละเมิดสิทธิ
และบอกว่าควรมีการเเก้ไขกฎหมาย พ.ร.บ.ภาพยนตร์ใหม่"
ที่มา http://www.nationtv.tv/main/content/social/378561523/
8.11.2017
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
0 comments:
Post a Comment