ชะตากรรมของหนังเรื่อง ‘เชคสเปียร์ต้องตาย’
ยังคงอยู่ในวังวนของการถูกห้ามฉาย
และคนไทยก็ยังไม่ได้มีโอกาสดูหนังเรื่องนี้ต่อไป
หลังจากที่ศาลปกครองพิพากษาว่า
ให้ยกคำร้องของผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ที่ขอให้ยกเลิกการแบนหนังเรื่องนี้
(หรือพูดง่ายๆ ก็คือตัดสินให้หนังเรื่องนี้ถูกแบนต่อไปนั่นเอง)
ศาลปกครองเห็นว่า ถึงแม้ประเทศในหนังเรื่องนี้จะเป็นเรื่องสมมติขึ้นมา
แต่มีหลายฉากที่สื่อให้เห็นว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทย
และถ้าหากถูกเผยแพร่ออกไปก็อาจทำให้เกิดความแตกแยกให้กับคนในชาติได้
‘เชคสเปียร์ต้องตาย’ เป็นหนังที่ได้รับการสนับสนุนทางการเงิน (3 ล้านบาท)
จากโครงการไทยเข้มแข็งภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงวัฒนธรรมเมื่อปี 2553
หนังเรื่องนี้อ้างอิงจากบทประพันธ์ของวิลเลียม เชคสเปียร์เรื่อง ‘แม็คเบ็ธ’
โดยมี สมานรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ เป็นผู้กำกับ (มันเลยดูย้อนแย้งพอสมควรเนอะ
เมื่อหนังที่ภาครัฐให้เงินสนับสนุน แต่ก็ถูกภาครัฐด้วยกันเองสั่งแบน)
หลังจากที่หนังถ่ายทำเสร็จเรียบร้อย
ทีมงานก็ได้นำตัวอย่างไปให้กองเซ็นเซอร์พิจารณาตามขั้นตอนเมื่อเดือนเมษายน
2555 ต่อมากองเซ็นเซอร์ตัดสินว่า
ห้ามฉายหนังและจัดจำหน่ายหนังเรื่องนี้ในประเทศไทย
โดยเปิดการ์ดท่าไม้ตายว่า
มีบางฉากที่มีสัญลักษณ์ให้เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ทางการเมืองจน
‘อาจก่อให้เกิดการแตกแยกสามัคคีระหว่างคนในชาติ’
ทีมงานที่สร้างหนังเรื่องนี้ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ
แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นผล โดยคณะกรรมการเห็นว่า
ควรแบนหนังเรื่องนี้ต่อไปตามความเห็นกองเซ็นเซอร์ มีรายงานของ ThaiPublica
ที่ระบุว่า คณะกรรมการ (บางคน) ที่สนับสนุนให้แบนหนังเรื่องนี้มองว่า ถ้า
‘เชคสเปียร์ต้องตาย’
ถูกนำเอาไปฉายต่อสาธารณะอาจจะเกิดความร้าวฉานของคนในประเทศมากขึ้น
จึงกลายเป็นว่า ‘เชคสเปียร์ต้องตาย’ ถูกตัดสินให้แบนมาแล้วอย่างน้อย 3 รอบ
รอบแรกจากกองเซ็นเซอร์ รอบที่สองจากคณะกรรมการคณะกรรมการภาพยนตร์ฯ
และรอบที่ศาลเป็นคำตัดสินของศาลปกครองในวันนี้ อย่างไรก็ดี
ผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ ยืนยันว่าจะขอยื่นอุทธรณ์เพื่อสู้คดีต่อไป
ที่ผ่านมาหนังเรื่องนี้ถูกตั้งข้อสังเกตว่ามีฉากเกี่ยวกับการเมืองไทยหลายฉาก
เช่น เหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อ 6 ตุลาคม 2519 รวมถึง การอ้างอิงถึง
'ท่านผู้นำ' ที่เป็นเผด็จการบ้าอำนาจและ 'ภรรยาไฮโซ' ที่มีนิสัยแปลกประหลาด
อย่างไรก็ตาม หลายคนก็ตั้งคำถามว่า
การแบนหนังเรื่องนี้ถือเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพการแสดงออกหรือไม่
อย่างที่ผู้กำกับเคยแถลงต่อศาลถึงผลกระทบของการเซนเซอร์หนังเอาไว้ว่า
“ความเป็นจริงในปัจจุบัน รวมทั้งโลกออนไลน์ หมายความว่า
ไม่มีใครสามารถปิดกั้นการสื่อสารใดๆได้อีกในโลกนี้
ทำให้มาตรการแบนภาพยนตร์เป็นสิ่งที่ไร้สาระโดยสิ้นเชิง
นอกจากจะไม่ได้ผลในการปิดกั้นข่าวสารข้อมูล
มันยังทำให้ประเทศและวัฒนธรรมอ่อนแออีกด้วย
ทั้งเป็นการกีดกันปัญญาชนของประเทศออกไปจากบทสนทนาของชาติ
ซึ่งเป็นความสูญเสียอันใหญ่หลวงของสังคมไทย”
อ้างอิงจาก
http://www.shakespearemustdie.com/
https://thaipublica.org/2012/05/shakespeare-must-die/
https://news.voicetv.co.th/entertainment/514567.html
https://www.matichon.co.th/news/625411
From https://www.facebook.com/thematterco/photos/a.1735876059961122.1073741831.1721313428084052/1922922007923192/?type=3
0 comments:
Post a Comment