Showing posts with label ประชาไท. Show all posts
Showing posts with label ประชาไท. Show all posts

แบนต่อเนื่อง “เชคสเปียร์ต้องตาย” เหตุเนื้อหาสร้างความแตกแยก

8.11.2017

0 comments  

แบนต่อเนื่อง “เชคสเปียร์ต้องตาย” เหตุเนื้อหาสร้างความแตกแยก

“เชคสเปียร์ต้องตาย” ยังถูกแบน ศาลปกครองกลางตัดสินยกฟ้องคำร้องของผกก.และผู้สร้างฯ ชี้ เนื้อหาหลายฉากคล้ายเหตุการณ์รุนแรงในไทย สร้างความแตกแยก ด้านผกก.และผู้สร้างฯยัน เดินหน้ายื่นอุทธรณ์ต่อ

ภาพจากภาพยนตร์ เชคสเปียร์ต้องตาย

11 ส.ค. มติชนออนไลน์ รายงานว่า ที่ศาลปกครอง ถนนเเจ้งวัฒนะ ศาลอ่านคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง ในคดีหมายเลขดำที่1321/2555 ที่มานิต ศรีวานิชภูมิ และสมานรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ ผู้อำนวยการสร้างและผู้กำกับภาพยนตร์ “เชคสเปียร์ต้องตาย” (Shakespeare must die) ได้เข้ายื่นฟ้องคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์คณะที่ 3 เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1 และ 2 ต่อศาลปกครองกลาง ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนมติและคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 2 ที่ห้ามฉาย จัดจำหน่ายภาพยนตร์เรื่อง “เชคสเปียร์ต้องตาย” ในราชอาณาจักร และขอให้ชดใช้ค่าเสียหายจากเงินทุนที่ใช้ในการสร้างภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 7,530,388.55 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด

ผกก.และผู้สร้างฯ ยื่นคำฟ้องระบุ เนื้อหาภาพยนตร์ไม่ก่อให้เกิดการแตกสามัคคี พร้อมเรียกร้องค่าเสียหาย

คำฟ้องระบุว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 2 ไม่อนุญาตให้ภาพยนตร์เรื่อง “เชคสเปียร์ต้องตาย” ซึ่งแปลจากบทประพันธ์โดยกวีเอกของโลก วิลเลียม เชคสเปียร์ เรื่อง “โศกนาฎกรรมแม็คเบ็ธ” หรือ The Tragedy of Macbeth ให้เผยแพร่ในประเทศไทย โดยอ้างว่ามีเนื้อหาก่อให้เกิดความแตกสามัคคีระหว่างคนในชาติ ตามกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของประเภทภาพยนตร์ 2552 ข้อ 7 (3) นั้น เห็นว่าไม่ได้เป็นไปตามข้อจำกัดในหลักการของสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคลและสื่อมวลชนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 45 บัญญัติไว้

และหากจะอะลุ้มอล่วยให้เป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือเพื่อศีลธรรมอันดีของประชาชน แต่ข้อเท็จจริงสังคมไทยมีการเข่นฆ่าประชาชนเกิดขึ้นหลายครั้งหลายหน ทั้งเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 และกรณีสงครามยาเสพติดที่มีผู้เสียชีวิตกว่า 2,500 คน ซึ่งเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นย่อมเป็นความรุนแรงของสังคมไทยที่มิอาจลืมเลือน หรือปกปิดไว้ได้ โดยคนไทยสมควรเรียนรู้ร่วมกันเพื่อร่วมมือกันมิให้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นอีก ดังนั้นภาพยนตร์ “เชคสเปียร์ต้องตาย” จึงมิได้มีเนื้อหาที่ก่อให้เกิดความแตกสามัคคีคนในชาติตามที่อ้าง

“เนื้อหาสาระของภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้มีตอนใดตอนหนี่งที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนตามที่อ้าง เพราะเนื้อหาสาระของภาพยนตร์ดังกล่าวแปลเป็นภาษาไทยอย่างซื่อตรงต่อต้นฉบับละครเรื่อง “โศกนาฏกรรมแม็คเบ็ธ” อันเป็นบทประพันธ์ของวิลเลียม เชคสเปียร์ กวีเอกของโลก โดยมีการดัดแปลงเพื่อให้เป็นภาษาของภาพยนตร์และเข้ากับริบทของสังคมและวัฒนธรรมไทยเท่านั้น การที่อ้างว่าไม่ให้ภาพยนตร์นี้ฉายก็เพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐนั้น คำว่า “รัฐ” ย่อมหมายถึงรัฐชาติ ไม่ได้หมายถึงรัฐบาลหนึ่งรัฐบาลใด ดังนั้น การกระหายเลือด การมักใหญ่ใฝ่สูง การงมงายในไสยศาสตร์ของตัวละครในภาพยนตร์ที่สถาปนาตนเองเป็นราชา ซึ่งเหมือนกับผู้นำประเทศต่างๆ ในโลกแห่งความเป็นจริงของสังคม ย่อมมิได้กระทบต่อความมั่นคงของรัฐ รวมถึงเกียรติภูมิของประเทศแต่อย่างใด เพราะรัฐบาลหนึ่งรัฐบาลใดมิได้หมายถึงประเทศชาติด้วย”

ท้ายคำฟ้องยังระบุว่าด้วย ต้องเสียค่าใช้จ่ายในค่าตอบแทนส่วนตัวในกระบวนการผลิตภาพยนตร์จนเสร็จสิ้นอีก 2,250,000 บาท รวมถึงความเสียหายต่อชื่อเสียงค่าเสียหายจากการขาดโอกาสในการร่วมทุนสร้างภาพยนตร์กับบุคคลอื่น แต่การสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ทั้งสองไม่ได้มีเจตจำนงในการแสวงหากำไรในการสร้างจึงไม่ติดใจที่จะเรียกค่าเสียหายในส่วนนี้จากผู้ถูกฟ้องคดี

ศาลยกฟ้อง ชี้ เนื้อหาหลายฉากคล้ายเหตุการณ์รุนแรงในไทย สร้างความแตกแยก ไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหาย

ศาลพิเคราะห์เเล้วเห็นว่าการพิจารณาภาพยนตร์เรื่องใดเรื่องหนึ่งว่าจะเป็นสาเหตุของการเเตกความสามัคคีของคนในชาติหรือไม่นั้นจะต้องพิจารณาสาระสำคัญทั้งเเนวความคิดเเละเเก่นสารของเรื่องที่มุ่งเน้นของภาพยนต์ กรณีไม่อาจนำเสนอส่วนใดส่วนหนึ่งมาพิจารณาได้ จะต้องพิจารณาเนื้อหาสาระสำคัญทั้งเรื่อง

จากการพิจารณาบทคัดย่อประกอบกับรับชมผ่านซีดีรับฟังได้ว่า ภาพยนต์ดังกล่าวมีเนื้อหา เกี่ยวกับเรื่องราวตำนานเเห่งการเมืองเเละไสยศาสตร์ที่ได้เเรงบันดาลใจเเละบทเกือบทั้งหมดมาจากต้นฉบับละคร โศกนาฎกรรมเเม็คเบ็ธ ของวิลเลี่ยม เชคสเปียร์ เเละดัดเเปลงเพื่อเข้ากับบริบทวัฒนธรรมไทย เป็นเรื่องระหว่างการเเสดงในโรงละครกับเหตุการณ์โลกภายนอกของประเทศสมมุติเเห่งหนึ่ง ซึ่งเนื้อหาในโรงละครเป็นเรื่องของขุนพลกระหายเลือด มักใหญ่ใฝ่สูง งมงายไสยศาสตร์ ผู้สถาปนาตนเองเป็นกษัตริย์โดยการฆาตกรรม ซึ่งมีชื่อเรียก “ท่านผู้นำ” โดยหลังจากเรื่องภายในโรงละครจบลง ในโลกภายนอกมีกลุ่มคนที่คลั่งไคล้ท่านผู้นำ ที่มีการเเสดงละครล้อเลียนท่านผู้นำได้วิ่งกรู ทำร้ายนักเเสดง ผู้กำกับละคร เเล้วลากไปด้านหน้าโรงละคร จับเเขวนคอทุบตีด้วยเก้าอี้เหล็กพับ ท่ามกลางกลุ่มคนที่ส่งเสียงเชียร์

เมื่อพิจารณาภาพยนตร์ดังกล่าว เเม้ผู้ฟ้องคดีจะกล่าวว่าประเทศในละครเป็นประเทศสมมุติก็ตาม เเต่มีเนื้อหาหลายฉากคล้ายกับเหตุการณ์ความรุนเเรงในประเทศไทยมิใช่ประเทศสมมุติตามที่กล่าวอ้าง
ซึ่งผู้ถูกฟ้องที่2เห็นว่า เหตุการณ์ดังกล่าวคล้ายกับเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 อันเป็นฉากที่ก่อให้เกิดความเเตกเเยกความสามัคคีคนในชาติ เป็นฉากที่มีผู้ชายเสื้อดำโพกผ้าเเดงถือท่อนไม้ทำรายคนดู จับผู้กำกับละครเเขวนคอ เห็นว่าเเม้จะมีภาพยนต์หลายเรื่องนำประวัติศาสตร์ชาติไทยในอดีตที่มีความขัดเเย้งมาสร้างก็ตาม เเต่ประวัติศาสตร์ชาติไทยในอดีตดังกล่าวเกิดขึ้นมาเเล้วเป็นเวลานานหลายร้อยปีจนไม่อาจสืบสาวราวเรื่องว่าบุคคลดังกล่าวมีความสัมพันธ์เป็นญาติพี่น้องกันหรือไม่ จึงไม่ก่อให้เกิดความเคียดเเค้นชิงชัง ต่างจากภาพยนตร์ผู้ฟ้องคดีทั้งสองที่ได้มีการนำเหตุการณ์ 6 ตุลาคมซึ่งเป็นเหตุการณ์ร่วมสมัยมาเป็นส่วนหนึ่งภาพยนต์มีความยาวฉากนี้ 2 นาทีเศษย่อมสร้างความไม่พอใจเกิดขึ้นเเก่ญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิตหรือผู้ร่วมเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดความรู้สึกเคียดเเค้นชิงชังอันอาจเป็นชวนสร้างความเเตกเเยกคนในชาติได้ ประกอบกับเมื่อมีการประชุมกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2555 ผู้ถูกฟ้องคดีได้เเจ้งให้เเก้ไขบทในฉากดังกล่าว เเต่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองยืนยันจะใช้บทเดิม ทั้งที่สามารถดำเนินเเก้ไขได้โดยมิได้ส่งผลกระทบต่อเนื้อหาสำคัญของเรื่อง รวมถึงเเนวคิดด้านมืดด้านสว่างของมนุษย์ บาปบุญคุณโทษผลกรรม เเละการต่อสู้ระหว่างอธรรมกับธรรมมะในจิตใจคน

การที่ผู้ถูกฟ้องที่ 2 ไม่อนุญาตให้ผู้ถูกฟ้องคดีนำภาพยนตร์เรื่อง เชคสเปียร์ต้องตายออกเผยเเพร่ราชอาณาจักรจึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย เเละเมื่อวินิจฉัยว่าเป็นคำสั่งที่ชอบ คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องที่ 1 ให้ยกอุทธรณ์จึงชอบด้วยกฎหมาย ส่วนประเด็นความเสียหายทางละเมิดเมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าคำสั่งของผู้ถูกฟ้องทั้งสองชอบด้วยกฎหมายการกระทำย่อมไม่เป็นการละเมิดจะต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายเเก่ผู้ฟ้องคดีเเต่อย่างใด พิพากษายกฟ้อง

ผู้สร้างฯ ยันเดินหน้ายื่นอุทธรณ์ต่อ ชี้ ในยูทูปยังมีภาพเหตุการณ์ดังกล่าว แจง กรรมการสิทธิชี้ถูกละเมิด

หลังอ่านคำพิพากษา มานิตกล่าวว่าจะนำคำพิพากษาไปเพื่อพิจารณาในการยื่นอุทธรณ์คดีต่อศาลปกครองสูงสุดต่อไปเพราะการที่บอกว่า เหตุการณ์ 6 ตุลาคมเป็นประเด็น หากลองไปเปิดในยูทูปดูจะพบเรื่องราวถึงเหตุการณ์ดังกล่าวนี่เเสดงว่า กสทช.บกพร่องในหน้าที่
ขณะที่.สมานรัชฎ์ ยืนยันว่าเป็นกรณีเลือกปฏิบัติ โดยหนังเรื่องนี้ไปฉายในต่างประเทศเเละได้รางวัลรวมถึงการวิจารณ์ที่ดี มีข้อเท็จจริงเนื้อเรื่องดังกล่าวในเเบบเรียนก็มี เรื่องนี้ตนเคยไปร้องเรียนกับคณะกรรมการสิทธิมนุษย์ชน ซึ่งชี้ว่าตนถูกละเมิดสิทธิ เเละบอกว่าควรมีการเเก้ไขกฎหมาย พ.ร.บ.ภาพยนตร์ใหม่



ที่มา  https://prachatai.com/journal/2017/08/72766

'Insects' ร่วม 'Shakespeare' ฟ้องศาลปกครอง ถูกปล่อยบิท

11.23.2012

http://prachatai.com/journal/2012/11/43808


'Insects' ร่วม 'Shakespeare' ฟ้องศาลปกครองเร่งรัดคดี หลังพบหนังถูกปล่อยบิท

22 พ.ย.55 ธัญญ์วาริน สุขะพิศิษฐ์ ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง  ‘Insects in the Backyard’  ร่วมกับมานิต ศรีวานิชภูมิผู้อำนวยการสร้าง และสมานรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง  ‘เชคสเปียร์ต้องตาย’  เข้าแจ้งความต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) เหตุถูกเว็บไซต์เถื่อน ขโมยหนังไปจำหน่ายและเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาต
ก่อนหน้านี้คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์มีมติไม่อนุญาตให้ฉายภาพยนตร์ เรื่อง ‘เชคสเปียร์ต้องตาย’  โดยให้เหตุผลว่า ภาพยนตร์มีเนื้อหาที่อาจก่อให้เกิดการแตกความสามัคคีระหว่างคนในชาติ  ส่วนภาพยนตร์เรื่อง  ‘Insects in the Backyard’ ให้เหตุผลว่า ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน
มานิต ศรีวานิชภูมิ ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องเชคสเปียร์ต้องตาย ได้กล่าวถึงการแจ้งความการละเมิดลิขสิทธิ์ครั้งนี้ ว่า เหมือนถูกกระทำซ้ำสอง หลังจากที่ภาพยนตร์ถูกคำสั่งห้ามเผยแพร่มาครั้งหนึ่งแล้ว
‘มันแย่มากๆ  หลังจากหนักโดนแบนไปก็ยังมีคนมาละเมิด  เอาไปขายต่อ  มันแย่มากๆ  มันเหมือนโดนข่มขืนซ้ำสอง’ มานิตกล่าว
หลังจากนั้น ทีมผู้สร้าง-ผู้กำกับและทีมทนายความจากหนังทั้งสองเรื่อง ได้เดินทางต่อไปยัง ‘ศาลปกครอง’ เพื่อยื่นคำร้องขอให้ศาลเร่งรัดการพิจารณาคดีในกรณีการขอให้เพิกถอนคำสั่งไม่อนุญาตให้ฉายภาพยนตร์ทั้งสองเรื่อง ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกัน
ความเสียหายและผลกระทบอันจะเกิดขึ้นเพราะเหตุที่มีผู้นำหนังทั้งสองเรื่องไปเผยแพร่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่งผลให้ผู้ผลิตหนังได้รับความเสียหายและสูญเสียรายได้ที่อาจจะได้รับจากการจัดฉายหลังศาลมีคำพิพากษา
โดยในกรณีของเรื่อง ‘Insects in the Backyard’ นั้น ได้ดำเนินการฟ้องร้องไปแล้วเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2554 แต่ยังไม่มีความคืบหน้าในคดี เช่นเดียวกับในกรณีของ ‘เชคสเปียร์ต้องตาย’ ซึ่งได้ฟ้องร้องไปเมื่อ 9 สิงหาคม 2555 ก็ไม่มีความคืบหน้าเช่นกัน
ด้านธัญญ์วาริน สุขะพิศิษฐ์ ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง ‘Insects in the Backyard’ ได้แสดงความเห็นต่อระบบการพิจารณาคดีว่า เป็นไปด้วยความล่าช้า และไม่ทันการณ์ ‘มันน่าจะเร็วกว่านี้  มันก็เป็นสินค้า  มีระยะเวลาของมัน  ไม่ใช่เมื่อไหร่ก็ได้  ถ้าล้าสมัยไปก็เสียหาย’
ทีมภาพยนตร์รอเข้าแจ้งความต่อ "กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี" (ปอท.) [ซ้ายไปขวา] “สมานรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์” ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง  "เชคสเปียร์ต้องตาย", "มานิต ศรีวานิชภูมิ" ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ "เชคสเปียร์ต้องตาย", "ธัญญ์วาริน สุขะพิศิษฐ์” ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง “Insects in the Backyard”

[ซ้ายไปขวา] "พ.ต.ท.สัณห์เพ็ชร หนูทอง"  ตำแหน่ง พงส. (สบ3) กก.3 บก.ปอท.  ผู้รับฟ้อง, "มานิต ศรีวานิชภูมิ", "ธัญญ์วาริน สุขะพิศิษฐ์"
กลุ่มทีมภาพยนตร์ที่ถูกแบน [ซ้ายไปขวา] "วสันต์ พานิช" ทนายความจากทีมภาพยนตร์ "เชคสเปียร์ต้องตาย", "มานิต ศรีวานิชภูมิ" ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ "เชคสเปียร์ต้องตาย", "วริทธิ์พล  จิวะสุรัตน์" ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์  "Insect in the Backyard" ,"ยิ่งชีพ อัชฌานนท์" ทนายความจากเครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน


ติดตามรายละเอียดคดี Insects in the Backyard เพิ่มเติมได้ที่ http://freedom.ilaw.or.th/th/case/140
ติดตามรายละเอียดคดี ‘เชคสเปียร์ต้องตาย’ เพิ่มเติมได้ที่ http://freedom.ilaw.or.th/th/case/316

หนัง ‘เชคสเปียร์ต้องตาย’ โดนแบน อ้างก่อความแตกแยก

4.08.2012

0 comments  

ประชาไท
http://prachatai.com/journal/2012/04/39958



3 เม.ย.55 คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์(กองเซ็นเซอร์) ในกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม มีมติสั่งห้ามฉาย ‘เชคสเปียร์ต้องตาย’ ภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายที่ได้รับทุนสร้างจากกองทุนส่งเสริมภาพยนตร์ของ สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย (สศร.) กระทรวงวัฒนธรรม ภายใต้โครงการไทยเข้มแข็งของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในปี 2553 ซึ่งเพิ่งสร้างเสร็จและเข้าตรวจพิจารณาปีนี้

ตามเอกสารบันทึกการตรวจพิจารณาภาพยนตร์ระบุว่า “คณะกรรมการฯ พิจารณาเห็นว่า ภาพยนตร์เรื่องเชคสเปียร์ต้องตาย (Shakespeare Must Die) มีเนื้อหาที่ก่อให้เกิดการแตกความสามัคคีระหว่างคนในชาติ ตามกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของประเภทภาพยนตร์ และวีดิทัศน์ พ.ศ. 2552 ข้อ 7 (3) จึงมีมติไม่อนุญาต โดยจัดเป็นประเภทภาพยนตร์ที่ห้ามเผยแพร่ในราชอาณาจักร ตามมาตรา 26 (7) แห่งพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวิดีทัศน์ พ.ศ. 2551”

ทั้งนี้ ภาพยนตร์เรื่อง ‘เชคสเปียร์ต้องตาย’ เป็นภาพยนตร์ไทยที่สร้างขึ้นจากบทละคร ‘โศกนาฏกรรมแม็คเบ็ธ’ (The Tragedy of Macbeth) ของวิลเลียม เชคสเปียร์ (William Shakespeare) กวี เอกของโลก เป็นเรื่องราวของขุนพลที่มักใหญ่ใฝ่สูงอย่างไร้ขอบเขตและคลั่งไคล้ในไสย ศาสตร์ เมื่อมีแม่มดมาทักว่าจะได้เป็นกษัตริย์ในภายหน้า และโดยการยุยงของภรรยา เขาสังหารพระราชาเพื่อสถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์ แม็คเบ็ธปกครองแผ่นดินด้วยความบ้าอำนาจ พาให้บ้านเมืองตกอยู่ในยุคมืดมนแห่งความหวาดกลัว โดยที่ตัวเขาเองก็ปราศจากความสุข ต้องใช้ความรุนแรงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพื่อรักษาอำนาจของตน ละครเรื่องแม็คเบ็ธนี้ ได้มีการจัดแสดงโดยคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยเมื่อปีที่แล้ว นอกจากนี้ยังบรรจุอยู่ในหลักสูตรการศึกษาของเด็กมัธยมต้นทั่วโลกมายาวนาน และได้ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์มาแล้วหลายครั้ง โดยนักทำหนังอินเดีย ญี่ปุ่น และจีน เป็นต้น

ด้านมานิต ศรีวานิชภูมิ ผู้อำนวยการสร้างหนังเรื่องดังกล่าวได้ออกแถลงการณ์ถึง การแบนภาพยนตร์ดังกล่าวในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และระบุว่า “เหตุการณ์นี้ทำให้ผมเห็นว่า เราไม่สามารถพูดถึงเรื่องศีลธรรม ความโลภ ความบ้าอำนาจ ความมักใหญ่ใฝ่สูงอันไร้ขอบเขตกันได้อีกแล้วในประเทศไทย ผู้คนอยู่กันด้วยความกลัว ราวกับว่าอยู่ใต้แม็คเบ็ธในบทละครของเชคสเปียร์จริงๆ มันแปลกประหลาดมากที่องค์กรของกระทรวงวัฒนธรรมลุกขึ้นแบนหนังที่กระทรวง วัฒนธรรมเองเป็นผู้สนับสนุน และกองเซ็นเซอร์ ภายใต้กรมส่งเสริมวัฒนธรรม เห็นควรแบนเชคสเปียร์”

ส่วนผู้กำกับหนังเรื่องนี้ สมานรัชฎ์ (อิ๋ง) กาญจนะวณิชย์ ได้เขียนบทความลง ในเว็บไซต์shakespearemustdie.com ในวันที่ 19 มี.ค.55 ก่อนจะส่งหนังเรื่องดังกล่าวให้กองเซ็นเซอร์พิจารณาด้วยความไม่แน่ใจว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้จะผ่านการพิจารณา โดยอาจโดนตั้งคำถามว่าจะทำให้สังคมแตกแยกมากขึ้นหรือไม่ โดยผู้กำกับได้ยืนยันว่า คติประจำกองถ่ายคือ “ต่อสู้ความกลัวด้วยศิลปะ – สร้างศิลปะด้วยความรัก” พร้อมทั้งบรรยายความรู้สึกถึงความรุนแรงทางการเมืองที่เกิดขึ้นโดยกลุ่มคน เสื้อแดงเมื่อปี 2553 ซึ่งทำให้การถ่ายทำหยุดชะงักรวมถึงเหตุการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมา

ตอนหนึ่งในบทความระบุว่า “‘เชคสเปียร์ต้องตาย’ คือจุดรวมฝันร้ายของเรา นี่คือมโนภาพแห่งความสยองขวัญของเรา มันเป็นหนังผีมิใช่หรือ? หนังผีสมควรเป็นเรื่องของสิ่งที่พาให้เราใจหายและหวาดผวา มันไม่ใช่รายงานข่าวหรือแม้กระทั่งสารคดี มันไม่มีหน้าที่เลคเชอร์ข้อมูลอะไรให้คุณเชื่อ มันมีไว้ให้คุณได้สัมผัสด้วยอารมณ์ความรู้สึก ก็เท่านั้นเอง เราดูดซึมยาพิษจากยุคสมัยมาถักทอเป็นภาพต้องมนต์สะกดเพื่อความสนุกเพลิด เพลินของคนดู”

"หนังผี-หนังสยองขวัญ จะทำหน้าที่ของมัน--คือไล่ผีและปลดปล่อยปมขมวดทางจิตให้เรา--ได้สำเร็จก็ต่อ เมื่อมันไม่หลีกเลี่ยงสารพิษในผืนดินถิ่นกำเนิดของมัน แต่พร้อมที่จะหยั่งรากลึกลงไปในก้นบึ้งของพิษร้ายนั้นอย่างเต็มอกเต็มใจและ เต็มที่"

“มาถึงวันนี้ แทนที่จะเป็นอันธพาลคลั่งเจ้าที่เราต้องกลัว เรามีกลุ่มคนบ้าคลั่งกลุ่มอื่นที่ไร้เหตุผลและนิยมความรุนแรงอย่างแท้จริง อันเป็นผลงานมหกรรมปั่นหัวโดยเครื่องจักรทักษิณ ดังนั้น ไม่ว่าเขาจะอ้างว่าเขาเป็นซ้ายหรือว่าเป็นขวาไม่ใช่ประเด็น แต่คนลักษณะนี้ทำให้ชีวิตของเราและของบ้านเมืองไร้เหตุผลและเสียสติ ทำให้ความสงบเหือดหายและเป็นไปไม่ได้ เช่นเดียวกับเยอรมันกับนาซี เราควรให้ลูกหลานทุกคนได้เห็นภาพนี้ เราควรจดจำมันไว้เสมอ ไม่ใช่เพื่อโหมไฟอาฆาตพยาบาทต่อกัน แต่เพื่อเตือนใจทุกคน รวมทั้ง‘คนดี’ อย่างที่เราคิดว่าเราเป็นด้วย ที่อาจกลายเป็นปีศาจได้ ถ้าถูกยั่วยุเกินทน”