สตาร์พิคส์ – ดูหนังในหนังสือ
SHAKESPEARE MUST DIE (พ.ศ.2555) *** ½ อนิจจา บ้านเมืองน่าเวทนา…[*]
ประวิทย์ แต่งอักษร
โดยที่คนทำหนังเรื่อง Shakespeare Must Die (พ.ศ.2555) ไม่ได้เจตนา แต่กลายเป็นว่าหนึ่งในช่วงเวลาที่น่าขบขันและเย้ยหยันที่สุดของหนังเรื่อง นี้-ได้แก่ เครดิตในช่วงเปิดและปิดเรื่องซึ่งโดยธรรมเนียมปฏิบัติแล้ว ผู้สร้างมีหน้าที่ให้ข้อมูลกับผู้ชมเกี่ยวกับรายชื่อของทีมงานและนักแสดง ตลอดจนบุคคลและองค์กรที่ให้การสนับสนุนในการสร้างหนังเรื่องนั้นๆขึ้นมา และในกรณีของหนังเรื่อง Shakespeare Must Die ความเหลวไหลบังเกิดในตอนที่หนังขึ้นโลโก้ ‘Creative Thailand’ พร้อมกับสโลแกนที่เขียนไว้อย่างสวยหรูและชวนเชื่อ-ว่า ‘เมืองไทย เมืองนักคิด’ ซึ่งอย่างที่หลายคนรับรู้รับทราบเป็นอย่างดีว่า ที่มาที่ไปของเครื่องหมายดังกล่าว-ก็เนื่องด้วยคนทำหนังเรื่องนี้ได้รับการ สนับสนุนเงินทุนจำนวนหนึ่งจากกองทุนไทยเข้มแข็ง และโครงการ ‘สร้างเศรษฐกิจไทยด้วยความคิดสร้างสรรค์’ ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งแปลว่า-บุคลากรของรัฐก็มีส่วนรู้เห็นในการสร้างหนังเรื่องนี้ตั้งแต่เริ่มแรก
เป็นเรื่องนึกให้ออกได้ยากลำบากจริงๆว่า คนเราจะคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆขึ้นมาได้อย่างไรในท่ามกลางการตีกรอบหรือล้อม รั้วไม่ให้ ‘คิดสร้างสรรค์’ เลยเถิดไปกว่าที่กำหนดหรือได้รับอนุญาต (ข้อสำคัญ รั้วในที่นี้เป็นรั้วไฟฟ้าซะด้วย เพราะมัน ‘ช็อต’ คนที่พยายามจะวิ่งฝ่าออกไป) และถ้าหากใครจะลองนึกย้อนกลับไปตรวจสอบวิวัฒนาการของความคิดสร้างสรรค์ในทาง ศิลปะ
มันล้วนแล้วเป็นผลลัพธ์มาจากการแหวกวงล้อมของกฎ, กติกาและมารยาทเดิมๆทั้งสิ้น และมันควรเป็นพื้นที่โล่งกว้างที่ไม่ต้องให้ใครมาบอกว่าอะไรคิดได้ อะไรคิดไม่ได้ เพราะในที่สุด บริบทหรือสภาพแวดล้อมตลอดจนวุฒิภาวะของคนในสังคมก็จะทำหน้าที่คัดแยกและ กลั่นกรองอย่างอัตโนมัติในตัวมันเอง

อย่างที่รับรู้กันว่าเหตุผลที่เซ็นเซ่อร์ใช้อธิบายถึงการไม่ตีตราประทับ รับรองการฉายหนังเรื่อง Shakespeare Must Die ในโรงภาพยนตร์-ก็เนื่องด้วยมันเป็นหนังที่ ‘มีเนื้อหาก่อให้เกิดการแตกความสามัคคีระหว่างคนในชาติ ตามกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของประเภทภาพยนตร์ และวีดิทัศน์ พ.ศ. 2552 ข้อ 7 (3)’ ซึ่งมันนำไปสู่ประเด็นที่น่าครุ่นคิดอย่างน้อยสองประการด้วยกัน อย่างแรกสุดก็เป็นดังที่ใครต่อใครได้พูดถึงกันไปทั่วถ้วนแล้วว่า สังคมไทยไม่ว่าจะมีหรือไม่มีหนังเรื่อง Shakepeare Must Die ก็อยู่ในสภาวะแตกแยกและปริร้าวในเรื่องความสมัครสมานสามัคคีมาก่อนหน้านั้น เนิ่นนาน และลองสมมติเล่นๆว่าหนังเรื่อง Shakespeare Must Die ก่อให้เกิดความร้าวฉานในสังคมไทยและทำลายความสงบเรียบร้อยของการอยู่ร่วมกัน จริงๆ ดีกรีของมันก็เทียบเคียงไม่ได้เลยกับบรรดาโทรทัศน์ที่สังกัดสีต่างๆและเลือก ข้างที่ด่าทอกันไปมาอย่างจาบจ้างรุนแรง หลายครั้งหลายครา-กักขฬะและหยาบคาย และผู้ชมรับรู้ได้ถึงบรรยากาศของความเกลียดชังอย่างชนิดไม่ต้องเผาผี-แผ่ ซ่านและอบอวล ข้อสำคัญ ผู้ชมไม่ต้องถ่อสังขารไปถึงโรงหนัง และสามารถนั่งหรือนอนเอกเขนกในห้องส่วนตัวและปล่อยให้ปฏิกูลทางภาพและเสียง เหล่านั้น-สะกดและยับยั้งจิตสำนึกและความสามารถในการแยกแยะผิดชอบชั่วดีของ เราให้ด้านชา
ในทางกลับกัน ใครที่ได้ดูหนังเรื่อง Shakespeare. (ซึ่งนับจนถึงปัจจุบัน ก็คงจะมีเพียงหยิบมือ) ก็คงจะตระหนักได้ว่า มันไม่เพียงดัดแปลงมาจากบทละครอายุกว่าสี่ร้อยปีของวิลเลี่ยม เช็คสเปียร์เรื่อง The Tragedy of Macbeth แต่มันเดินเรื่องอย่างซื่อสัตย์และรักษาเค้าโครงของตัวบทละครอย่างน้อยที่ สุดก็น่าจะประมาณ 80-90 เปอร์เซ็นต์ และถึงแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนเสียงของตัวละคร มันก็ด้วยจุดประสงค์ให้เกิดการพ้องเสียงเป็นสำคัญ เช่น แม็คเบ็ธ ตัวเอกของเรื่องก็ถูกเรียกว่าเมฆเด็ด, แบงโคว นักรบคู่ใจของแม็คเบ็ธก็กลายเป็นบางโค และแม็คดัฟฟ์ ตัวละครที่ระแคะระคายว่าความชั่วร้ายของแม็คเบ็ธ-ก็ชื่อว่าเมฆดับ และไม่มีตรงไหนที่ผู้ชมได้ยินชื่อตัวละครที่เชื่อมโยงได้กับผู้ทรงไว้ด้วย เกียรติอันสูงส่งทั้งหลายในแวดวงการเมืองไทย และก็ไม่มีตรงไหนที่ด่าทอหรือวิพากษ์วิจารณ์บุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยตรง
แต่มันคงเป็นการมองโลกด้วยสายตาที่บริสุทธิ์และไร้เดียงสาเกินไป-ถ้าหาก จะบอกว่าหนังเรื่อง Shakespeare. ไม่มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับสังคมไทย เพราะอันที่จริง นั่นเป็นเหตุผลของการสร้างหนังเรื่องนี้ขึ้นมา และประการสำคัญ มันเป็นเหตุผลที่ผู้ชมควรจะได้ดู (ไม่ใช่ถูกห้ามดู) เพื่อความเจริญเติบโตในทางสติปัญญา และแท็คติกและกลวิธีที่คนทำหนังเลือกใช้-ก็ไม่ใช่ด้วยถ้อยคำกากเดนหรือ ผรุสวาทด่าทอ หรือแสดงออกถึงอารมณ์อันกราดเกรี้ยวรุนแรงและโมโหโกรธาอยู่ตลอดเวลาเหมือน กับที่พบเห็นได้ในโทรทัศน์เลือกข้างของบรรดาขั้วการเมือง ตรงกันข้าม คนทำหนังไม่เพียงถอดความตามบทประพันธ์ดั้งเดิมของเช็คสเปียร์ แต่ยังรักษาความสละสลวยงดงามของถ้อยคำที่เป็นภาษากวี
เหนืออื่นใด ในการเชื่อมโยงเนื้อหาของ Macbeth กับสังคมไทยซึ่งผู้ชมก็บอกไม่ได้แน่ชัดว่ามันหมายถึงยุคใดสมัยใด (กระทั่งฉากที่คนทำหนังได้รับอิทธิพลมาจากกรณีฝูงชนบ้าคลั่งรุมประชาทัณฑ์ นักศึกษาเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ปี 2519 มันก็ไม่ได้เป็นการจำลองสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นโดยตรง และหยิบยืมมาเฉพาะบรรยากาศของความกระหายเลือด เสียสติและคลุ้มคลั่งของผู้คนเพียงลำพัง) เทคนิคที่คนทำหนังเลือกใช้-ได้แก่การอุปมาอุปไมย ซึ่งในทางศิลปะ ถือเป็นกลวิธีในการสื่อสารชั้นสูง เพราะในการเข้าถึงแก่นสารสาระที่ศิลปินต้องการนำเสนอ ผู้ชมไม่อาจใช้อารมณ์ชั่ววูบหรือความรู้สึกผิวเผินในการแปลสารและความหมาย ของมัน และต้องอาศัยการกลั่นกรองทั้งในทางความคิดและสติปัญญา และดังที่รู้กันว่าในสังคมที่ปิดกั้นและขาดแคลนเสรีภาพ (อย่างเช่นตอนนี้?) การอุปมาอุปไมยยังเป็นเสมือนเครื่องไม้เครื่องมือหรือแม้กระทั่งอาวุธเพียง อย่างเดียวที่ศิลปินในทุกยุคสมัยใช้เพื่อต่อกร หรือเพื่อแสดงออกถึงการไม่ยอมจำนนต่อการใช้อำนาจบาตรใหญ่ของผู้มีอำนาจ และรักษาไว้ซึ่งเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของตน

หนังถึงกับใส่ฉากเล็กๆฉากหนึ่งเข้ามาเพื่อเน้นย้ำความหมายในส่วนนี้ มันเป็นเหตุการณ์ในระหว่างพักครึ่งการแสดงละครเวที (ซึ่งเดินเรื่องคู่ขนานไปกับตัวหนัง) และลูกน้องคนสนิทของท่านผู้นำเดินตรงไปหาผู้กำกับละครเรื่องนี้พร้อมกับเอ่ย ถามในลักษณะตั้งข้อกล่าวหาว่า หน้าตาของนักแสดงเอกคล้าย ‘ท่านผู้นำ’ มาก “นี่คุณตั้งใจหรือเปล่า” ดูเหมือนคำตอบของผู้กำกับละครเวที (รับบทโดยชาติชาย ปุยเปีย) จะสรุปได้ว่า เขาเพียงแค่สร้างงานศิลปะ ส่วนใครจะตีความอย่างไร-ก็เป็นสิทธิอันชอบธรรมของคนๆนั้น
เพราะฉะนั้น ความเกี่ยวพันของหนังเรื่อง Shakespeare. กับสังคมไทย-จึงไม่ได้ตื้นเขินเพียงแค่ผู้สร้างต้องการแสดงออกถึงการเลือกสี เลือกข้าง และโจมตีฝ่ายที่ตัวเองไม่ชอบขี้หน้าด้วยวิธีสาดโคลน-ซึ่งเป็นรูปแบบการ ต่อสู้ที่ประชาชนตาดำๆ (ซึ่งถูกใช้เป็นตัวประกัน) เฝ้ามองด้วยสายตาอิดหนาระอาใจมาตลอดระยะเวลาหลายปี หากมันเป็นหนังที่แสดงออกถึงความปรารถนาดีมากๆต่อประเทศที่ต้องติดอยู่ใน หล่มของความขัดแย้งมายาวนาน ด้วยการใช้เรื่องราวของแม็คเบ็ธเป็นอุทาหรณ์-ย้ำเตือนให้ผู้ชมตระหนักถึง หายนะของความละโมบและมักใหญ่ใฝ่สูงในอำนาจที่นำพาให้ตัวละครที่โดยเนื้อแท้ แล้ว ไม่ได้ชั่วร้ายในกมลสันดานอย่างแม็คเบ็ธ-ต้องตกอยู่ในความหน้ามืดตามัว และนำพาชีวิตของตัวเองและคนอื่นๆไปพบจุดจบหรือลงเอยด้วยโศกนาฏกรรมอย่างน่า สมเพชเวทนา ซึ่งมองในแง่นี้ ก็ต้องยกคุณงามความดีให้กับบทประพันธ์ของเช็คสเปียร์ที่สะท้อนถึงความเข้าอก เข้าใจในธาตุแท้และด้านมืดของมนุษย์ได้อย่างลึกซึ้งและทะลุปรุโปร่งเหลือ เกิน และระยะเวลาสี่ร้อยปีที่ผ่านพ้นไป-ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ชั้นดีว่า นอกจากมันไม่ได้พ้นยุคสมัย สิ่งที่ได้รับการนำเสนอยังมีความเป็นสากลและไม่ผูกติดอยู่กับเงื่อนไขของกาลเวลา

ด้วยเหตุนี้เอง การที่หนังเรื่อง Shakespeare Must Die ถูกคณะกรรมการฯเสียงข้างมากทั้งสองชุด-พิพากษาว่ามัน ‘ก่อให้เกิดการแตกความสามัคคี’ โดยอ้างกฎกระทรวงฯเพียงลำพัง-จึงเป็นคำวินิจฉัยที่น่าผิดหวัง ขาดการอธิบายถึงเหตุผลอย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม จนกลายเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่ใครอาจจะเกิดคำถามและข้อสงสัยถึงประสิทธิภาพ ในการตีความของคณะกรรมการฯ และพร้อมๆกันนั้นเอง การออกคำสั่งไม่อนุญาตให้ฉายหนังเรื่องนี้-ก็ยังฟ้องถึงความไม่เชื่อมั่นใน ความสามารถกลั่นกรองและแยกแยะของผู้ชมภาพยนตร์ หรือพูดง่ายๆว่าคณะกรรมการฯเสียงข้างมากคงจะเห็นว่าผู้ชมที่ได้ดูหนังเรื่อง นี้-ไม่สามารถใช้สติปัญญาไตร่ตรองและขบคิดได้ด้วยตัวเอง และเป็นไปได้ว่าหลังจากดูหนังเรื่องนี้ พวกเขาคงจะออกไปอาละวาด หรือก่อม็อบประท้วงและทำความวุ่นวายให้กับบ้านเมือง เพราะฉะนั้น จึงเห็นควรให้ตัดไฟแต่ต้นลม ทั้งๆที่พินิจพิเคราะห์ตัวหนังทั้งในแง่ของเนื้อหาและการนำเสนอ มันก็ไม่ได้มุ่งปลุกเร้าในแบบของหนังโฆษณาชวนเชื่อให้ผู้ชมดำดิ่งอยู่ใน อวิชชาและความงมงาย และเรียกร้องให้ผู้ชมใช้วิจารณญาณใคร่ครวญ
เป็นเรื่องจริงที่หนังมีฉากรุนแรง และกระทบกระเทือนความรู้สึกของผู้ชม หนึ่งในนั้นได้แก่ฉากรุมประชาทัณฑ์ตามที่กล่าวถึงก่อนหน้า-ซึ่งตามเนื้อ เรื่อง มันอยู่ในช่วงท้ายที่ลูกน้องคนสนิทของท่านผู้นำหมดความอดทนกับความละม้าย คล้ายคลึงของการแสดงละครเวทีเรื่อง Macbeth กับวิถีในการก้าวขึ้นสู่อำนาจของเจ้านาย และสั่งให้ลิ่วล้อจับตัวผู้กำกับไปแขวนคอ และฟาดด้วยเก้าอี้พับอย่างโหดเหี้ยมทารุณ
มันเป็นฉากที่ในแง่ของความรู้สึกแล้ว-ท่วมท้นและเจิ่งนอง และกัดกร่อนความรู้สึกอย่างสาหัสสากรรจ์ แต่ใครที่ได้ดูก็น่าจะรับรู้ได้ว่ามันไม่ได้เป็นการนำเสนออย่างฉวยโอกาสหรือ แม้แต่โหมกระพือความรู้สึกโกรธแค้นเกลียดชังอย่างขาดสติ ตรงกันข้าม มันถูกใช้อย่างสอดคล้องไปกับแก่นความหมายที่คนทำหนังต้องการนำเสนอ อันได้แก่ผลลัพธ์ของสังคมที่อยู่ภายใต้การปกครองของผู้นำที่มีจิตใจคับแคบ และมองเห็นเสรีภาพในทางความคิดเห็นเป็นอาชญากรรม และใครจะกล้าปฏิเสธว่ามันไม่ใช่ความจริงที่เกิดขึ้นในสังคมเผด็จการทุกยุค ทุกสมัยและทุกแห่งทุกหน เพราะการที่หนังเจตนาอ้างอิงสิ่งที่เกิดขึ้นในฉากนี้กับเหตุการณ์เมื่อวัน ที่ 6 ตุลาคม ปี 2519 ก็ยิ่งตอกย้ำว่า ความเลวทรามต่ำช้าตามที่ได้รับการถ่ายทอดออกมาเป็นภาพอันน่าสะพรึงกลัว นี้-ไม่ได้เป็นผลมาจากการคิดเอาเองของคนทำ และในโลกของความเป็นจริง มนุษย์ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีจิตใจอันสูงส่ง-สามารถแสดงออกถึงความหยาบช้า ป่าเถื่อนได้อย่างน่าตกตะลึง
แน่นอนว่า Shakespeare Must Die ไม่ใช่หนังที่เหมาะสำหรับคนทุกเพศทุกวัย และใครที่จะดูหนังเรื่องนี้จำเป็นต้องได้รับการคัดกรอง ซึ่งระบบการจัดแบ่งอายุผู้ชม-ก็ถือว่าเหมาะสมในตัวมันเอง ส่วนที่เย้ยหยันก็คือ คำสั่งห้ามฉายของคณะกรรมการฯ (ซึ่งดันไปพ้องกับตอนจบของหนังอย่างชนิดที่ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ ดี) แทนที่จะเป็นการ ‘ฆ่า’ หนังเรื่องนี้ให้ตายคามือ กลับเป็นเสมือนการช่วยประดับช่อชัยพฤกษ์ หรือแม้กระทั่งติดตรา‘เชลล์ชวนชิม’ และโดยปริยาย มันช่วยยืดอายุขัยของหนัง-ให้มีชีวิตยืนยาว
เป็นไปได้ว่าผู้ชมอาจไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์ (อย่างน้อยก็ในระยะเวลาอันใกล้) แต่สมมติว่าคนทำหนังเรื่องนี้-ต้องการเผยแพร่ผลงานของตัวเองในยุคสมัยที่การ พยายามปิดกั้น-กลายเป็นเรื่องตลกคาเฟ่ มันก็ไม่มีอะไรยากเย็น เพราะมันมีช่องทางมากมาย ทั้งเทศกาลหนังนานาชาติ-ซึ่งมันคงต้องไปฉายแน่ๆ ในสถานศึกษา หรือแม้แต่ในโลกออนไลน์
แล้วเพียงแค่คนทำหนังขึ้นข้อความสั้นๆว่า ‘Banned in Thailand’ หรือหนังที่ถูกห้ามฉายในประเทศไทย-ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงและพวกเขามีสิทธิ์อัน ชอบธรรม (และอันที่จริง ข้อมูลดังกล่าวก็ปรากฏอยู่ในเว็บไซท์ imdb เรียบร้อยแล้ว) มีหรือที่หมูหมากาไก่ที่ไหนจะไม่อยากดู
เอ๊ะ หรือว่าผมอ่อนหัด, ไร้เดียงสาและตามเกมไม่ทัน และจริงๆแล้ว มันเป็นแผนเหนือเมฆของการ ‘สร้างเศรษฐกิจไทยด้วยความคิดสร้างสรรค์’ หรือ creative Thailand ของกระทรวงวัฒนธรรม-อันสุดแสนลึกซึ้งและแยบยล
SHAKESPEARE MUST DIE (พ.ศ.2555)
กำกับการแสดง,ลำดับภาพ-สมานรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์/อำนวยการสร้าง-มานิต ศรีวานิชภูมิ, สมานรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์/บทภาพยนตร์-โดยสมานรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ แปลและดัดแปลงจาก ‘แม็คเบ็ธ’ ของ วิลเลี่ยม เชคสเปียร์/กำกับภาพ-มานิต ศรีวานิชภูมิ/ดนตรี-มงคล อุทก/ออกแบบงานสร้าง-อลิศกินเห็ด/ออกแบบเสื้อผ้า-อลิศกินเห็ด, สุขิตา เขมวิลาส/กำกับศิลป์-วิสูจน์ ศรีสัจจะลักษณ์/นักแสดง-พิศาล พัฒนพีระเดช, ธาริณี เกรแฮม, ต่อตระกูล จันทิมา, ชัชดนัย มุสิกไชย,นิวัติ กองเพียร, สกุล บุณยทัต