Showing posts with label Manager Online. Show all posts
Showing posts with label Manager Online. Show all posts

อดฉาย “เชคสเปียร์ต้องตาย” ศาลปกครองชี้ คกก.หนังใช้ดุลพินิจถูกต้อง ฉากแขวนคอเก้าอี้ทุบ ทำแตกสามัคคี

8.19.2017

0 comments  

 “ศาลปกครองกลาง” ยกฟ้องคดีกลุ่มผู้สร้างและผู้กำกับฟ้อง คกก.พิจารณาภาพยนตร์เพื่อให้ยกเลิกคำสั่งห้ามฉายหนัง “เชคสเปียร์ต้องตาย” ระบุฉากชายชุดดำโพกผ้าแดงแขวนคอผู้กำกับละครแล้วใช้เก้าอี้ทุบ อาจทำสังคมแตกแยก คณะ กก.ใช้ดุลพินิจโดยชอบแล้ว ไม่เป็นการจำกัดสิทธิ
       
       วันนี้ (11 ส.ค.) ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษายกฟ้องในคดีที่ นายมานิต ศรีวานิชภูมิ ผู้อำนวยการสร้าง น.ส.สมานรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ ผู้กำกับและเขียนบทภาพยนตร์ “เชคสเปียร์ต้องตาย” ยื่นฟ้องคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ คณะที่ 3 กรมส่งเสริมวัฒนธรรม เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-3 เพื่อให้ศาลเพิกถอนคำสั่งคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ที่ห้ามนำฉายภาพยนตร์ เรื่อง เชคสเปียร์ต้องตาย ออกเผยแพร่ในราชอาณาจักร เหตุเกิดเมื่อปี 2555 โดยศาลเห็นว่า การที่คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ คณะที่ 3 มีคำสั่งไม่อนุญาตให้นำภาพยนตร์เรื่อง “เชคสเปียร์ต้องตาย” ออกเผยแพร่ในราชอาณาจักร เนื่องจากมีเนื้อหาสาระบางส่วนอาจก่อให้เกิดการแตกความสามัคคีของคนในชาติ ในการตรวจพิจารณาภาพยนตร์เรื่องนี้ จึงจำเป็นต้องพิจารณาเนื้อหาสาระสำคัญของภาพยนตร์โดยตลอดเรื่องอย่างเชื่อมโยงร้อยเรียงเป็นเนื้อเดียวกันว่า มีเนื้อหาเข้าลักษณะก่อให้เกิดการแตกความสามัคคีระหว่างคนในชาติหรือไม่ แม้นายมานิตกับพวกจะกล่าวว่าประเทศในภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นประเทศสมมติ แต่โดยที่มีเนื้อหาหลายฉากหลายตอนสื่อให้เห็นได้ว่าเป็นสภาพสังคมไทย และเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมไทย มิใช่ประเทศสมมติตามที่นายมานิตกับพวกอ้าง
       
       สำหรับฉากที่คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ คณะที่ 3 เห็นว่า คล้ายกับเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อวันที่ 6 ต.ค. 2519 อันเป็นฉากที่พิพาทนั้น เป็นฉากที่มีกลุ่มผู้ชายใส่เสื้อสีดำโพกผ้าสีแดงที่ศีรษะจำนวนหนึ่ง ถือท่อนไม้วิ่งเข้าไปในโรงละครแล้วทำร้ายคนดูละคร คณะนักแสดง จับผู้กำกับละครแขวนคอ โดยมีชายสวมแว่นดำถือเก้าอี้เหล็กพับทุบตีที่ร่างกายของผู้กำกับละครที่ถูกแขวนคอ โดยมีกลุ่มผู้ชายโพกผ้าสีแดงที่ศีรษะส่งเสียงสนับสนุนการกระทำนั้น เป็นการนำเหตุการณ์ร่วมสมัยมาไว้เป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์ที่ย่อมสร้างความไม่พอใจให้เกิดขึ้นแก่ญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิต หรือผู้ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้เกิดความรู้สึกเคียดแค้นชิงชัง อันอาจเป็นชนวนให้เกิดการแตกความสามัคคีระหว่างคนในชาติได้ เมื่อในการเข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ คณะที่ 3 เมื่อวันที่ 3 เม.ย. 2555 คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ คณะที่ 3ได้แจ้งให้นายมานิตและพวกแก้ไขเปลี่ยนแปลงบทภาพยนตร์ในฉากดังกล่าวแล้ว แต่นายมานิตและพวกยืนยันที่จะไม่ทำการแก้ไขทั้งที่สามารถดำเนินการได้ โดยมิได้ส่งผลกระทบต่อเนื้อหาสำคัญของเรื่อง รวมถึงแนวคิดเกี่ยวกับด้านมืดและด้านสว่างของมนุษย์ บาปบุญคุณโทษ ผลกรรม และการต่อสู้ระหว่างธรรมะกับอธรรมภายในจิตใจคน ที่นายมานิตและวกประสงค์จะนำเสนอให้ผู้ชมภาพยนตร์ได้รับรู้
       
       อีกทั้งเมื่อพิจารณาหนังสืออุทธรณ์ของนายมานิตกับพวก ฉบับลงวันที่ 17 เม.ย. 2555 ที่รับว่าได้มีการถกเถียงกันอย่างมากถึงฉาก 6 ต.ค. 2519 และฉากที่มีการใช้สีแดง แสดงให้เห็นว่านายมานิตกับพวกทราบและเข้าใจแล้วว่าบทภาพยนตร์ในส่วนใดที่คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ คณะที่ 3 ประสงค์ให้แก้ไขหรือตัดทอน ประกอบกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนเป็นรากฐานความดีงามของสังคมไทยที่รัฐธรรมนูญมุ่งหมายธำรงรักษา จึงบัญญัติให้เป็นเหตุสำคัญประการหนึ่ง ที่ฝ่ายนิติบัญญัติสามารถยกขึ้นใช้เป็นเหตุผลในการออกกฎหมายมาจำกัดสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญได้ แม้ว่า ในการผลิตหรือสร้างภาพยนตร์จะถือเป็นการประกอบอาชีพอย่างหนึ่งที่รัฐธรรมนูญรับรองให้ผู้ประกอบอาชีพมีสิทธิและเสรีภาพในการผลิตหรือสร้างภาพยนตร์ก็ตาม แต่สิทธิและเสรีภาพดังกล่าวยังต้องอยู่ภายใต้ข้อจำกัดตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งข้อจำกัดบางประการตามมาตรา 29 พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ 2551 คือ ภาพยนตร์ที่ผลิตขึ้นมาจะต้องไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ไม่กระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของรัฐ และเกียรติภูมิของประเทศไทย
       
       ดังนั้น การที่คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ คณะที่ 3 มีคำสั่งไม่อนุญาตให้นายมานิตกับพวกนำภาพยนตร์เรื่อง เชคสเปียร์ต้องตาย ออกเผยแพร่ ด้วยเหตุผลว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มีเนื้อหาที่ก่อให้เกิดการแตกความสามัคคีระหว่างคนในชาติ ซึ่งเป็นกรณีที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงยังฟังไม่ได้ว่า เป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ตามมาตรา 45 ของรัฐธรรมนูญ การที่ คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ คณะที่ 3 ไม่อนุญาตให้นำภาพยนตร์ดังกล่าวออกเผยแพร่ในราชอาณาจักร จึงเป็นการใช้ดุลพินิจที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว 


ที่มา  https://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9600000082128

ผู้สร้าง “เชคสเปียร์ต้องตาย” ฟ้องศาลปกครองถอนคำสั่งห้ามฉาย เรียกค่าเสียหาย 7.5 ล้าน

8.09.2012

0 comments  

http://www.manager.co.th/
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 9 สิงหาคม 2555 15:43 น.

ผู้สร้างและผู้กำกับ “เชคสเปียร์ต้องตาย” ยื่นฟ้องศาลปกครองเพิกถอนคำสั่งห้ามฉาย พร้อมเรียกค่าเสียหาย 7.5 ล้าน ยันเนื้อหาภาพยนตร์ไม่ทำสังคมแตกสามัคคี เหตุข้อเท็จจริงในบ้านเมืองมีการเข่นฆ่า ปชช.หลายหนอยู่แล้ว สมควรให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันเพื่อร่วมมือกันมิให้เหตุรุนแรงเกิดขึ้นอีก

วันนี้ (9 ส.ค.) นายมานิต ศรีวานิชภูมิ และน.ส.สมานรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ ผู้อำนวยการสร้างและผู้กำกับภาพยนตร์ “เชคสเปียร์ต้องตาย” ได้เข้ายื่นฟ้องคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์คณะที่ 3 เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1 และ 2 ต่อศาลปกครองกลาง ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนมติและคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 2 ที่ห้ามฉาย จัดจำหน่ายภาพยนตร์เรื่อง “เชคสเปียร์ต้องตาย” ในราชอาณาจักร และขอให้ชดใช้ค่าเสียหายจากเงินทุนที่ใช้ในการสร้างภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 7,530,388.55 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด

คำฟ้องระบุเหตุแห่งการฟ้องคดีว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 2 ไม่อนุญาตให้ภาพยนตร์เรื่อง “เชคสเปียร์ต้องตาย” ซึ่งแปลจากบทประพันธ์โดยกวีเอกของโลก วิลเลียม เชคสเปียร์ เรื่อง “โศกนาฎกรรมแม็คเบ็ธ” หรือ The Tragedy of Macbeth ให้เผยแพร่ในประเทศไทย โดยอ้างว่ามีเนื้อหาก่อให้เกิดความแตกสามัคคีระหว่างคนในชาติ ตามกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของประเภทภาพยนตร์ 2552 ข้อ 7 (3) นั้น เห็นว่าไม่ได้เป็นไปตามข้อจำกัดในหลักการของสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความ คิดเห็นของบุคคลและสื่อมวลชนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 45 บัญญัติไว้

และหากจะอะลุ้มอล่วยให้เป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือเพื่อศีลธรรมอันดีของประชาชน แต่ข้อเท็จจริงสังคมไทยมีการเข่นฆ่าประชาชนเกิดขึ้นหลายครั้งหลายหน ทั้งเหตุการณ์ 14 ต.ค. 2516 เหตุการณ์ 6 ต.ค. 2519 เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 และกรณีสงครามยาเสพติดที่มีผู้เสียชีวิตกว่า 2,500 คน ซึ่งเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นย่อมเป็นความรุนแรงของสังคมไทยที่มิอาจลืมเลือน หรือปกปิดไว้ได้แต่อย่างใด โดยคนไทยสมควรเรียนรู้ร่วมกันเพื่อร่วมมือกันมิให้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิด ขึ้นอีก ดังนั้นภาพยนตร์ “เชคสเปียร์ต้องตาย” จึงมิได้มีเนื้อหาที่ก่อให้เกิดความแตกสามัคคีคนในชาติตามที่อ้าง

“เนื้อหาสาระของภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้มีตอนใดตอนหนี่งที่ขัดต่อ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนตามที่อ้าง เพราะเนื้อหาสาระของภาพยนตร์ดังกล่าวแปลเป็นภาษาไทยอย่างซื่อตรงต่อต้นฉบับ ละครเรื่อง “โศกนาฏกรรมแม็คเบ็ธ” อันเป็นบทประพันธ์ของวิลเลียม เชคสเปียร์ กวีเอกของโลก โดยมีการดัดแปลงเพื่อให้เป็นภาษาของภาพยนตร์และเข้ากับริบทของสังคมและ วัฒนธรรมไทยเท่านั้น การที่อ้างว่าไม่ให้ภาพยนตร์นี้ฉายก็เพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐนั้น คำว่า “รัฐ” ย่อมหมายถึงรัฐชาติ ไม่ได้หมายถึงรัฐบาลหนึ่งรัฐบาลใด ดังนั้น การกระหายเลือด การมักใหญ่ใฝ่สูง การงมงานในไสยศาสตร์ของตัวละครในภาพยนตร์ที่สถาปนาตนเองเป็นราชา ซึ่งเหมือนกับผู้นำประเทศต่างๆ ในโลกแห่งความเป็นจริงของสังคม ย่อมมิได้กระทบต่อความมั่นคงของรัฐ รวมถึงเกียรติภูมิของประเทศแต่อย่างใด เพราะรัฐบาลหนึ่งรัฐบาลใดมิได้หมายถึงประเทศชาติด้วย”

ท้ายคำฟ้องนายมานิต และน.ส.สมานรัชฎ์ยังระบุว่าด้วย ตนเองต้องเสียค่าใช้จ่ายในค่าตอบแทนส่วนตัวในกระบวนการผลิตภาพยนตร์จนเสร็จ สิ้นอีก 2,250,000 บาท รวมถึงความเสียหายต่อชื่อเสียงค่าเสียหายจากการขาดโอกาสในการร่วมทุนสร้าง ภาพยนตร์กับบุคคลอื่น แต่การสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ทั้งสองไม่ได้มีเจตจำนงในการแสวงหากำไรในการ สร้างจึงไม่ติดใจที่จะเรียค่าเสียหายในส่วนนี้จากผู้ถูกฟ้องคดี

“มานิต” เตรียมฟ้องศาลปกครองพร้อมเรียกค่าเสียหายกรณีหนัง “เชคสเปียร์ต้องตาย”

0 comments  

http://www.manager.co.th/
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 8 สิงหาคม 2555 18:27 น.



“มานิต” อ้างกรรมการสิทธิมนุษยชน ฟันธง “เชคสเปียร์ต้องตาย” ถูกละเมิดจริง เตรียมฟ้องศาลปกครอง 9 ส.ค.นี้ พร้อมเรียกค่าเสียหาย 7 ล้านบาท

วันนี้ (8 ส.ค.) นายมานิต ศรีวานิชภูมิ ผู้สร้างภาพยนตร์ “เชคสเปียร์ต้องตาย” กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ ตนเองได้ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และกรรมาธิการสิทธิฯ วุฒิสภา กรณีที่ตนถูกละเมิดสิทธิตามมาตรา 4 ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ และเสรีภาพของบุคคล ย่อมได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เนื่องจากคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ มีมติไม่อนุญาตให้มีการเผยแพร่ภาพยนตร์เรื่องเชคสเปียร์ฯ โดยชี้แจงเหตุผลห้ามฉายไม่ชัดเจน เขียนแบบกว้างๆ ที่สำคัญ เหตุผลที่ห้ามฉายมีการเพิ่มเนื้อหาอีก จากเดิมเป็นภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาสาระบางส่วนที่ก่อให้เกิดการแตกความสามัคคี ของคนในชาติ กลับส่งหนังสือมาว่า คณะกรรมการภาพยนตร์ฯ พิจารณาเห็นว่า เนื้อหาของภาพยนตร์ เรื่อง เชคสเปียร์ฯ แม้จะดัดแปลงให้เป็นประเทศสมมติก็ตาม แต่ก็มีลักษณะที่สื่อความหมายให้เข้าใจว่าเป็นสังคมไทย และบางฉากยังมีเนื้อหาที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรืออาจกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของรัฐและเกียรติภูมิของประเทศด้วย

นายมานิต กล่าวว่า ใน เบื้องต้นได้รับแจ้งผลการวินิจฉัยด้วยวาจาจาก นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในฐานะประธานอนุกรรมการสิทธิพลเมืองและสิทธิการเมือง ว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มีมติเห็นว่า ตนเองถูกละเมิดสิทธิ์จริงตามที่ร้องเรียนไปจริง ขณะนี้อยู่ระหว่างรอหนังสือแจ้งมาเป็นลายลักษณ์อักษรมาอีกครั้ง ส่วนการไต่สวนของกรรมาธิการสิทธิฯ วุฒิสภา ด้านสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภคนั้น เพิ่งเสร็จสิ้นไปเมื่อวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา ตนเองคิดว่าคำวินิจฉัยคงจะออกมาไม่แตกต่างกัน ทั้ง นี้ จะนำคำวินิจฉัยของคณะกรรมการทั้ง 2 ส่วนไปเป็นข้อมูลในรูปคดีเพื่อนำไปฟ้องร้องต่อศาลปกครองในวันที่ 9 ส.ค.นี้ ที่สำคัญ ในการยื่นฟ้องครั้งนี้ตนเองยังได้เรียกร้องค่าเสียหาย 7 ล้านบาท เท่ากับงบประมาณการสร้างภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว

ผู้สร้าง “เชคสเปียร์ฯ” อ้อน วธ.ตามล่าคนก๊อบปี้แผ่นผี

7.03.2012

0 comments  

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 กรกฎาคม 2555 15:00 น.
http://www.manager.co.th/


ผู้สร้างเชคสเปียร์ฯ เต้น พบแผ่นผีขายตามท้องถนน อ้อน วธ.หาไอ้โม่งก๊อบปี้ให้นักข่าวด่วน ด้าน “สุกุมล” เตรียมหารืออธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ตั้ง คกก.ตรวจสอบ หากพบจะลงโทษตามระเบียบราชการ

วันนี้ (3 ก.ค.) นายมานิต ศรีวานิชภูมิ ผู้สร้างภาพยนตร์ “เชคสเปียร์ต้องตาย” กล่าวว่า ตนได้นำหนังสือที่ทำถึงกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กรณีขอให้ตรวจสอบเจ้าหน้าที่ วธ.ในฐานละเมิดลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ “เชคสเปียร์ต้องตาย” ด้วยการทำสำเนาแผ่นดีวีดีแจกจ่ายให้บุคคลอื่นโดยมิได้รับอนุญาต เผยแพร่บนเว็บไซต์ www.shakespearemustdie.com ไว้เป็นหลักฐาน โดยเนื้อหาหนังสือได้ทำถึง นายสมชาย เสียงหลาย ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม, กรรมการ และเลขานุการคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ โดยมีเนื้อหา ดังนี้ เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2555 เวลาประมาณ 09.30 น.ข้าพเจ้า นายมานิต ศรีวานิชภูมิ ผู้อำนวยการสร้างและเจ้าของลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ “เชคสเปียร์ต้องตาย” ได้รับเอสเอ็มเอส (SMS) จากนักข่าวท่านหนึ่ง (ขอสงวนนาม) แจ้งว่า ได้รับสำเนาแผ่นดีวีดีภาพยนตร์ “เชคสเปียร์ต้องตาย” จำนวน 1 ชุด จากเจ้าหน้าที่ของกระทรวงวัฒนธรรม โดยมิได้รับอนุญาตจากข้าพเจ้า

การกระทำดังกล่าวของเจ้าหน้าที่ใน กระทรวงวัฒนธรรมถือเป็นความผิดเรื่องร้ายแรง และมิอาจยอมความได้ เพราะถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์และผิดกฎหมาย ทั้งเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งห้ามเผยแพร่ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว ของคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ที่มีมติไว้เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม ที่ผ่านมา การกระทำดังกล่าวยังอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงยิ่งๆ ขึ้นไปอีก เมื่อปรากฏในกาลต่อมา ว่า ได้มีผู้นำสำเนาที่ได้รับแจกจ่ายดังกล่าว ไปทำเป็น “แผ่นผี” ขายตามท้องถนน ทั้งจะสร้างความสับสน สร้างความเข้าใจผิดว่า ข้าพเจ้าและพวกได้ดำเนินการลักลอบเผยแพร่จำหน่ายภาพยนตร์ที่มิได้รับอนุญาต

ข้าพเจ้าในฐานะผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำครั้งนี้ ขอให้ท่านในฐานะปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กรรมการและเลขาธิการคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ได้ดำเนินการตรวจสอบว่าผู้ใดได้กระทำการดังกล่าว และโปรดแจ้งให้ข้าพเจ้าทราบเพื่อจะได้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป โดยการนี้ข้าพเจ้าได้ทำการแจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจบางพลัด ไว้เป็นหลักฐานเรียบร้อยแล้ว

อนึ่ง ข้าพเจ้าทราบว่า ในระหว่างการดำเนินการพิจารณาภาพยนตร์ “เชคสเปียร์ต้องตาย” ในชั้นอุทธรณ์นั้น เจ้าหน้าที่ของท่านได้ดำเนินการทำสำเนาแผ่นดีวีดี แจกให้คณะกรรมการฯชม จึงขอให้ท่านดำเนินการทำลายแผ่นสำเนาดังกล่าวทันที และให้เหลือแต่เฉพาะชุดดีวีดีตัวจริงที่ทางข้าพเจ้าได้มอบให้เท่านั้น

ด้าน นางสุกุมล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กล่าวว่า ตามที่นาย มานิต กล่าวอ้างมีผู้สื่อข่าวได้รับแผ่นภาพยนตร์เชคสเปียร์ฯ มาจากเจ้าหน้าที่ใน วธ.และอยากให้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าวนั้น ตนจะหารือกับ นางปริศนา พงษ์ทัดศิริกุล อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) ให้ตั้งกรรมการตรวจสอบกรณีนี้ ว่า มีข้อเท็จจริงประการใด ถ้าพบว่ามีเจ้าหน้าที่ใน วธ.ตามที่ผู้สร้างกล่าวอ้างจริง จะลงโทษตามระเบียบราชการต่อไป

ผู้สร้างเชคสเปียร์ฯเดือด หนังถูกห้ามฉาย เตรียมฟ้องกรรมการสิทธิฯ

5.28.2012

0 comments  

ผู้จัดการ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 28 พฤษภาคม 2555 16:48 น.


http://www.thaiday.com/


ผู้ สร้างเชคสเปียร์ฯ ฮึดสู้ คกก.ภาพยนตร์ฯ หลังถูกสั่งห้ามเผยแพร่ผลงาน เตรียมร้องกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ-กรรมาธิการสิทธิฯวุฒิสภา 30 พ.ค.นี้ บอกแจงเหตุผลแล้วฟังไม่ขึ้น


นายมานิต ศรีวานิชภูมิ ผู้สร้างภาพยนตร์ไทยเรื่อง เชคสเปียร์ต้องตาย (แฟ้มภาพ)
วันนี้ (28 พ.ค.) นายมานิต ศรีวานิชภูมิ ผู้สร้างภาพยนตร์ไทย เรื่อง เชคสเปียร์ต้องตาย กล่าวว่า ตนได้รับหนังสือจาก นายสมชาย เสียงหลาย ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ในฐานะกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการภาพยนตร์แห่งชาติ กรณีคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติมีมติไม่อนุญาตให้มีการเผยแพร่ ภาพยนตร์ เรื่อง เชคสเปียร์ฯ อย่างเป็นทางการแล้ว ตน ได้ยืนยันไม่ยอมรับมติดังกล่าว เพราะทางคณะกรรมการภาพยนตร์ฯ ยังชี้แจงเหตุผลห้ามฉายไม่ชัดเจน เขียนแบบกว้างๆ ที่สำคัญ เหตุผลที่ห้ามฉายมีการเพิ่มเนื้อหาอีก จากเดิมเป็นภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาสาระบางส่วนที่ก่อให้เกิดการแตกความสามัคคี ของคนในชาติ กลับส่งหนังสือมาว่า คณะกรรมการภาพยนตร์ฯ พิจารณาเห็นว่า เนื้อหาของภาพยนตร์ เรื่อง เชคสเปียร์ฯ แม้จะดัดแปลงให้เป็นประเทศสมมติก็ตาม แต่ก็มีลักษณะที่สื่อความหมายให้เข้าใจว่าเป็นสังคมไทย และบางฉากยังมีเนื้อหาที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรืออาจกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของรัฐและเกียรติภูมิของประเทศ

นายมานิตย์ กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีคณะกรรมการภาพยนตร์ฯ แจ้งกับทางผู้สร้างว่า ภาพยนตร์ดังกล่าวมีเนื้อหานำเสนอเหตุการณ์ 6 ต.ค.2519 นั้น ตนยืนยันว่า ภาพยนตร์ไม่มีเนื้อหา ข้อความส่วนใดชี้ชัดหรือเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ 6 ต.ค.2519 แต่ยอมรับว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเพียงแรงบันดาลใจในการสร้างเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ตนเห็นว่า ภาพยนตร์ 2 เรื่องที่ถ่ายทอดเรื่องราวเหตุการณ์ 6 ต.ค.2519 คือ october Sonata รักที่รอคอย และ มหาลัยสยองขวัญ ทางคณะกรรมการภาพยนตร์ฯ ยังพิจารณาให้ฉายได้ ตนอยากจะขอคำชี้แจงในกรณีดังกล่าวด้วยว่าทำไมภาพยนตร์ทั้ง 2 เรื่องถึงได้ฉายทั้งที่อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ.2551 เหมือนกัน ด้วยเหตุนี้ ตนจึงถือว่า ถูกละเมิดสิทธิตามมาตรา 4 ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ และเสรีภาพของบุคคล ย่อมได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดย ในวันที่ 30 พ.ค.เวลา 10.00 น.ตนจะไปยื่นหนังสือร้องเรียนต่อกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และ 13.00 น.ร้องต่อกรรมาธิการสิทธิฯ วุฒิสภา ด้วย

เมื่อกองเซ็นเซอร์ไทย ปราบผีเชคสเปียร์

5.18.2012

0 comments  

เมื่อกองเซ็นเซอร์ไทย ปราบผีเชคสเปียร์
http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9550000059658
โดย ** อภินันท์ บุญเรืองพะเนา
15 พฤษภาคม 2555

หลังจากคาราคาซังกันมาสักพัก ในที่สุด บอร์ดที่ประชุมพิจารณาภาพยนตร์ ก็มีมติ 18 ต่อ 4 เสียง สั่งแบนหนัง “เชคสเปียร์ต้องตาย” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และในท่ามกลางการติดตามของคอหนังหลายคนกับท่าทีของผู้กำกับ และผู้อำนวยการสร้าง ซึ่งเคยให้สัมภาษณ์ ว่า ถ้าถูกแบนจริงๆ ก็จะยังจัดฉายหนังเรื่องนี้ แม้ว่าตัวเองจะต้องถูกจับติดคุกก็ตามที ก็มีมุมที่น่าคิดว่า ชะตากรรมของหนังเรื่องนี้ มันตีแผ่ให้เราเห็นอะไรบ้างภายใต้โครงสร้างของสังคมนี้

เล่าให้ฟังอย่างย่นย่อครับว่า Shakespeare Must Die หรือ “เชคสเปียร์ต้องตาย” เป็นผลงานการกำกับของ “สมานรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์” โดยมี “มานิต ศรีวานิชภูมิ” เป็นผู้อำนวยการสร้าง ตัวหนังนั้นดัดแปลงมาจากบทละครของกวีเอก “วิลเลียม เช็กสเปียร์” เรื่อง “โศกนาฏกรรมของแม็คเบ็ธ” (The Tragedy of Macbeth) แล้วถ่ายทอดออกมาผ่านมุมมองของหนังผี

ด้วยวิธีการเล่าเรื่องแบบละครซ้อนละคร “เชคสเปียร์ต้องตาย” ด้วยเรื่องราวของขุนนางผู้มักใหญ่ใฝ่สูงอย่างไร้ขอบเขต เหตุการณ์ในหนังจะแบ่งเป็นสองส่วน คือ ละครเวที และโลกภายนอกในเหตุการณ์ร่วมสมัย มีตัวละครนำชื่อ “เมฆเด็ด” เป็นขุนนางที่ล้มอำนาจกษัตริย์ แล้วสถาปนาตัวเองเป็นกษัตริย์พระองค์ใหม่ เมฆเด็ดลุ่มหลงในอำนาจ เกิดหวาดระแวงว่าจะถูกล้มล้าง จนต้องฆ่าใครต่อใครเพื่อจะได้อยู่ในอำนาจต่อไป...

เป็นที่รู้กันดีสำหรับนักอ่านครับว่า บทละครเรื่องนี้มีอายุยืนยาวกว่าสี่ร้อยปี ความดีงามของบทประพันธ์ ทำให้มันได้รับการบรรจุไว้ในหลักสูตรการศึกษาชั้นมัธยมต้นของหลายประเทศทั่ว โลกที่ใช้ภาษาอังกฤษ ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ปรากฏการณ์แบนหนังเชคสเปียร์คราวนี้จะทำให้ชนชาวโลกตื่น ตกใจด้วยความไม่เชื่อ สื่อมวลชนในระดับนานาชาติต่างพากันหยิบข่าวนี้ไปพาดหัวข่าวกันอย่างเอิก เกริก

มีการพูดกันในเชิงติดตลกทั้งในโลกออนไลน์และในชีวิตจริง ว่า ถ้าเพียงแต่ปล่อยให้หนังเรื่องนี้เข้าฉายไปตั้งแต่แรก มันก็คงไม่ถูกพูดถึง ซ้ำร้ายยังกลายเป็นที่ปรารถนาได้ใคร่ชมมากถึงเพียงนี้ เพราะก็อย่างที่ผู้กำกับบอก มันเป็นหนังผีต้นทุนต่ำ เข้าฉายได้ก็โรงเล็กๆ คนดูหรอมแหรม แต่พอมีการสั่งแบน มันเลยกลายเป็นว่าไปส่งเสริมความดังให้กับหนังอย่างที่คนแบนเองก็คงคาดไม่ ถึง

อย่างไรก็ดี นั่นเป็นเพียงตลกร้ายที่ไม่มีใครอยากขำกับมันสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้กำกับ-ผู้สร้าง ที่อยากเห็นหนังเรื่องนี้ออกสู่สายตาของคนดูผู้ชม ขณะที่เราอาจจะกำลังพยายามหาคำตอบว่าเพราะอะไร หนังเรื่องนี้ถึงไม่ได้ฉาย ซึ่งก็มีการพูดกันไปต่างๆ นานา เช่น เนื้อหามันพูดพาดพิงถึงอดีตผู้นำบางคนหรือเปล่า เพราะดูจากเรื่องย่อแล้ว ช่าง “พ้องพาน” กันเหลือเกิน ผมคิดว่ามันมีประเด็นที่ใหญ่กว่านั้น และมันเหมือนกับ “เงามืด” ที่ยังแผ่รัศมีปกคลุมหุ้มห่อสังคมไว้อย่างน่าอึดอัด

เสรีภาพในกรงขัง
เป็นที่ทราบกันว่า ปีสองปีมานี้ แวดวงหนังบ้านเรามีการนำระบบการจัดเรตติ้งมาใช้ โดยมี พ.ร.บ.ภาพยนตร์ รองรับอย่างเป็นเรื่องเป็นราว กระนั้นก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่า คนทำหนังเองก็ยังไปไม่พ้นจากระบบเก่าที่มาพร้อมกับ “กรรไกรแห่งอำนาจ” ซึ่งพร้อมจะตัดเส้นทางมุ่งสู่การฉายของหนังบางเรื่อง ซึ่งก่อนหน้า Shakespeare Must Die ถ้าผมจำไม่ผิด น่าจะเป็น Insects in the Backyard ที่โดนชะตากรรมเดียวกัน

การจัดเรตติ้ง เหมือนเป็นการันตีในสิทธิเสรีภาพทางด้านการแสดงออกของภาพยนตร์อยู่แล้ว แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด เพราะอันที่จริง เสรีภาพนั้นยังคงถูกตีกรอบไม่แตกต่างไปจากเดิม เพราะการเซ็นเซอร์ที่ยังมีบทบาทอยู่ มันจึงกลายเป็นตลกร้ายที่ขำไม่ออกอีกช็อตหนึ่งสำหรับคนทั่วไปที่มีสติปัญญา ดีว่า มีเรตติ้งแล้ว จะยังมีเซ็นเซอร์อยู่อีกทำไม เพราถึงมีเรตติ้งไป ก็ไม่ต่างอะไรกับเสรีภาพที่อยู่ในกรงขัง

ผมเห็นด้วยกับบางความคิดเห็นของศาสตราจารย์ ดร.อภินันท์ โปษยานนท์ รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ที่พูดว่า อยากให้คนไทยและต่างชาติได้ชมหนังเรื่องนี้ และว่า “เราจะมีเรตติ้งไว้ทำไม เมื่อมีเรตติ้งแล้วก็ต้องพิจารณาไปตามเรต นี่สะท้อนให้เห็นว่า พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดีทัศน์ 2551 ทั้ง 7 เรตติ้ง ของกระทรวงวัฒนธรรม ต้องมีการปรับปรุงแก้ไข”

ไม่แน่ใจว่า ถ้อยคำนี้จะเป็นเพียงเสียงแห่งความเห็นที่ผ่านเข้ามาแล้วเลือนหายไปหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ผมเชื่อว่า ประชาชนไม่ใช่อย่างที่คนบางคนกลุ่ม “คิดไปเอง” ต่อไปแล้ว

ประชาชนคือเด็กน้อยผู้บอบบาง
กรอบความคิดที่ว่าประชาชนควรได้รับการปกครอง และทุกสิ่งทุกอย่างต้องผ่านการคัดกรองจากคนบางกลุ่ม น่าจะเป็นแนวคิดที่คร่ำครึหมดสมัยไปนานแล้ว ประชาชนไม่ใช่ “เด็กน้อยตัวเล็กๆ” ของประเทศที่รัฐเป็นผู้ใหญ่ดังเช่นยุคโบราณที่ผ่านมา และทุกคนควรมี “สิทธิ์” ที่จะเข้าถึงทุกสิ่งทุกอย่างอย่างเท่าเทียม อีกทั้งควรมีสิทธิ์ที่จะพิจารณา วิเคราะห์วิจารณ์ หรือกระทั่งตัดสินทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวของพวกเขาเอง

ดังนั้น ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะต้องมาเป็นวิตกกังวลกันต่อไปแล้วว่า “หนังเรื่องนี้อาจจะก่อให้เกิดการแตกแยกความสามัคคีของคนในชาติ” ที่ผมใช้คำว่า “วิตกกังวล” เพราะเมื่อเราอ่านเหตุผลของบอร์ดผู้พิจารณา เราจะพบคำว่า “อาจจะ” คำๆ นี้ นอกเหนือไปจากจะส่อให้เห็นถึงความไม่แน่นอนว่ามันจะเกิดขึ้นก็ได้ หรือไม่เกิดขึ้นก็ได้ ยังมีเค้าของความกังวลปนอยู่ในนั้นด้วย แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ทางคณะกรรมการก็ใช้ “ดุลพินิจบนพื้นฐานแห่งความไม่มั่นใจ” นี้ ลงดาบตัดสิทธิ์ห้ามฉายหนังเรื่องดังกล่าวไป

มันน่าคิดนะครับว่า หนังเรื่องหนึ่งจะก่อให้เกิดการแตกแยกความสามัคคีระหว่างคนในชาติได้อย่างไร เมื่อเทียบกับในอดีตซึ่งมีการทำหนังจำพวก Propaganda หรือหนังโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อโหมกระพือความเกลียดชังอย่างโจ่งแจ้งแล้ว อย่างเช่น หนังของเยอรมันยุคนาซี ที่ยุยงส่งเสริมอคติทางชาติพันธุ์ หรือหนังของพวกคอมมิวนิสต์ แต่เดี๋ยวนี้ ผมคิดว่าผู้คนเขารู้ทันหนังแบบนั้นกันหมดแล้วครับ ใครจะมาใช้สื่อภาพยนตร์เป็นเครื่องมือเช่นนั้น คงจะมีก็แต่พวกเต่าล้านปีกระมัง

และถ้าจะพูดกันถึงคำว่า “ความสามัคคีของคนในชาติ” นี่ก็ดูเหมือนจะเป็นเพียงคำพูดสวยหรู ลมๆ แล้งๆ เพราะพูดก็พูดเถอะ ต่อให้ประเทศนี้ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าภาพยนตร์ คนในชาติก็มีความไม่ลงรอยกันในหลากหลายเรื่องราวอยู่ดี และยิ่งถ้าคุณเป็นมนุษย์โซเชี่ยลเน็ตเวิร์กสักหน่อย ก็จะพบว่า ผู้คนบนโลกออนไลน์ทำเรื่องนี้กันเป็นปกติอยู่แล้วโดยไม่จำเป็นต้องรอให้ ภาพยนตร์เรื่องใดมาคอยบอกว่า “ได้เวลาแตกแยกกันแล้ว ท่านทั้งหลายจงทะเลาะกัน”

มันน่าแปลกใจเหมือนกับที่หลายๆ คน พูดว่า เพราะอะไร เมื่อเทียบกันกับสื่อทุกสื่อแล้ว ภาพยนตร์ดูเหมือนจะถูกจับจ้องและริดรอนมากกว่าสื่ออื่นๆ ราวกับว่า มันเป็นผู้ร้าย สื่ออย่างละครทางฟรีทีวีไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเรื่อง นำเสนอความชิงชังเคียดแค้นอิจฉาริษยาไปจนถึงการดูหมิ่นถิ่นแคลนในความเป็น มนุษย์ของกันและกัน แต่กลับได้รับการอนุมัติให้ฉายซ้ำ วนไปวนมา เรื่องแล้วเรื่องเล่า และเอาเข้าจริง เมื่อเปรียบเทียบกัน สื่อทีวีพวกนี้เข้าถึงประชาชนได้กว้างขวางและซึมลึกยิ่งกว่าภาพยนตร์ด้วยซ้ำ ไป และซ้ำร้าย จริตแบบละครพวกนี้อีกนั่นแหละที่มีโอกาสมากกว่า (เพราะจำนวนเยอะกว่าหนัง) ต่อการที่จะฝังลึกอยู่ในกมลของคนดูและนำไปสู่โลกทัศน์ที่บิดเบี้ยวอย่างไม่ รู้เนื้อรู้ตัว

พูดแบบนี้ ไม่ได้จะกล่าวโทษละครไทยแต่อย่างใด เพราะในร้ายก็ยังมีดี และลึกๆ ผมก็ยังเชื่อว่า คนดูผู้ชมล้วนแล้วแต่มีดุลพินิจที่จะพิจารณา เห็นว่า นั่นมันก็เพียงแค่ละคร สิ่งหนึ่งสิ่งใดในทางดีที่เห็นว่าเหมาะควร ก็หยิบมาสอนใจตัวเองได้ เช่นเดียวกันกับดุลพินิจของผู้ชมภาพยนตร์ที่ย่อมรู้กันอยู่แล้วว่า สื่อที่ตนเองกำลังจ้องดูบนจอผ้าใบ มันก็คือ ภาพมายา หาใช่ “ความจริง” แต่อย่างใดไม่ แต่หากใครจะขบคิดไปในทำนองไหน ก็เป็นศิลปะชั้นเชิงของหนังเรื่องนั้นๆ และเป็นสิทธิเสรีภาพของแต่ละบุคคล เพราะถ้ามันไม่ใช่หนังโฆษณาชวนเชื่อ แต่เป็นงานที่เปิดกว้างให้ผู้เสพได้ใช้สติปัญญาตีความไปตามพื้นฐานของแต่ละ คน ก็จะนับเป็นการขยับขยายและเพิ่มความหลากหลายทางโลกทัศน์ให้เพิ่มพูนมากยิ่ง ขึ้น

ประเทศที่พัฒนาแล้ว ความเจริญด้านภาพยนตร์ของเขา จะไม่ได้หยุดอยู่แค่การเสิร์ฟหนังตลก ผี แอกชัน หรือขายฝันหวานๆ ให้กับประชาชนเพียงเท่านั้น หากแต่ยังมีพื้นที่ให้กับหนังที่มีคุณค่าโภชนาการต่อสติปัญญาและกระตุ้นให้ ผู้คนในประเทศของเขาคิดกับความเป็นไปในในสังคมด้วย

แต่ก็อย่างที่บอกว่า ถ้าเราไม่เชื่อว่าประชาชนคิดเป็น เราก็จะยังคงมองเห็นด้วยแว่นตาแห่งมายาคติของเราต่อไปว่า ประชาชนเป็นเพียงผู้เด็กน้อยผู้บอบบางที่ต้องการ “ผู้นำทาง” ในทุกเรื่องราว

‘อนิจจา บ้านเมืองน่าเวทนา
เจ้าแทบไม่กล้ารู้จักตัวเอง’

ไม่จำเป็นต้องพูดถึงประเทศอย่างอเมริกาที่เปิดโอกาสให้คนทำหนังได้ตั้งคำถาม หรือกระทั่งสร้างผลงานวิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่ปรากฏอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ ของเขา ไล่ตั้งแต่หนังวิพากษ์สงคราม หนังวิพากษ์การเมือง นักการเมือง ตำรวจ ฯลฯ ความใจกว้างของรัฐบาลอเมริกานั้น ถึงกับว่าให้ทุนแก่คนทำหนัง สร้างผลงานที่วิพากษ์วิจารณ์ตนเองด้วยซ้ำไป

แม้แต่ประเทศจีน ที่ว่ากันว่า “หินที่สุด” ในการที่จะปล่อยให้ใครวิพากษ์วิจารณ์เหตุบ้านการเมือง ก็ยังมีความยืดหยุ่นมากกว่า (แม้จะยังมีการจำกัดอยู่) ในแง่ที่ว่า เปิดโอกาสให้คนทำหนังได้ทำหนังที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์แห่งชาติของตัวเอง เท่าที่ผมจำได้ หนังเรื่อง Bodyguard and Assassin ก็ยังเชื่อมโยงถึงเรื่องราวของอดีตผู้นำบางคน และมีนัยยะแห่งการวิพากษ์รวมอยู่ในนั้นด้วย

แต่กับเมืองไทยที่ดูเหมือนจะเสรีมากกว่า อย่างน้อยๆ ก็เป็นประชาธิปไตย และให้ความคุ้มครองต่อสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกทางความคิดเห็นของประชาชน แต่เอาเข้าจริง กลับกลายเป็นว่า เราไม่ค่อยจะสามารถพูดอะไรได้นักเกี่ยวกับ “ตัวเราเอง” เกี่ยวกับ “ประวัติศาสตร์ของตัวเราเอง” เฉพาะอย่างยิ่ง กับสื่ออย่างภาพยนตร์ที่มักจะเป็นที่เพ่งเล็งตลอดเวลา หากมีการนำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับบ้านเมือง ไม่เว้นแม้แต่หนังเรื่อง Shakespeare Must Die นี้ ก็ชี้ชัดว่า เหตุผลหนึ่งซึ่งทำให้หนังโดนแบน ก็เพราะมีฉากที่ “เขาว่ากันว่า” พาดพิงเชื่อมโยงถึงเหตุการณ์ 6 ตุลา

อันที่จริง ที่ผ่านมา มีหนังไทยหลายเรื่องที่พาดพิงเกี่ยวเนื่องกับฉากเหตุการณ์ 6 ตุลา เช่น มหา’ลัยสยองขวัญ, October Sonata ซึ่งถ้าใช้มาตรฐานเดียวกัน หนังเหล่านั้นก็ไม่สมควรที่จะ “ผ่าน” ด้วย นั่นจึงเป็นเหตุผลให้หลายคนตั้งข้อสงสัยว่า หรือว่า Shakespeare Must Die จะไป “แทงใจดำ” ใครหรือเปล่า จึงได้รับการยกเว้น (ที่ไม่พึงประสงค์)

แต่อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์แบนหนังเรื่องนี้ก็บอกกล่าวกับเราได้พอเลาๆ ใช่ไหมว่า เราไม่สามารถพูดอะไรได้เกี่ยวกับตัวของเราเอง เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเราเอง เราไม่กล้าที่จะยอมรับความจริง (ทั้งที่จริงๆ มันเป็น “หนัง” ไม่ใช่ “ความจริง”) หรือว่าเรากลัวอะไรบางอย่างอยู่ เหมือนกับที่ “เมฆเด็ด” ในหนังเช็กสเปียร์ต้องตายหวาดกลัวอยู่

การต่อสู้กับความกลัว ไม่น่าจะใช่การปิดกั้น หรือหลีกหนีหรือกระทั่งทำลายเผาผลาญสิ่งที่เราหวาดกลัวครับ เหมือนกับ บรู๊ซ เวย์น แห่ง Batman Begins ต่อเมื่อเขาเข้าไปเผชิญหน้ากับฝูงค้าวคาวอีกครั้งหนึ่งจึงพบว่า ฝูงสัตว์ปีกซึ่งตัวเองเคยมีมโนภาพฝังอยู่ในใจคล้ายภูติผีที่ตามหลอกหลอนไม่ เลิกรามาตั้งแต่เด็ก ก็เป็นเพียงค้างคาวธรรมดาๆ ที่ทำอะไรต่อจิตใจของเขาไม่ได้อีกต่อไป

การเผชิญหน้ากับความจริง คือ สิ่งที่จะทำให้เราก้าวพ้นจากความกลัวได้อย่างดีที่สุดครับ เช่นเดียวกับการศึกษาตีความประวัติศาสตร์ นอกจากไม่มีอะไรจะต้องขลาดกลัว ยังทำให้มีแต่เพิ่มความเข้าอกเข้าใจในรากเหง้า และตัวตนของเรามากยิ่งขึ้น แต่ทว่าตลอดเส้นทางที่ผ่านมา ประวัติศาสตร์ที่เรารู้และศึกษา ก็ล้วนแล้วแต่เป็นประวัติศาสตร์ตามตำรา ซึ่งถูกเขียนขึ้นโดยใครก็คงไม่ต้องบอก การนำเสนอประวัติศาสตร์ในมุมมองอื่นๆ หรือมิติอื่นๆ กลายเป็นสิ่งแปลกปลอม หรือแม้แต่เป็น “ของต้องห้าม” ไปโดยปริยาย

ประวัติศาสตร์ทำให้เราเรียนรู้ตัวเอง เข้าใจตัวเอง เพื่อที่จะก้าวต่อไปข้างหน้าได้โดยไม่ต้องเจ็บปวดซ้ำซาก คำถามก็คือ เราจะรู้จักตัวเองได้อย่างไร ถ้าแม้แต่พูดถึงตัวเอง เรายังทำไม่ได้ ป่วยการที่จะคิดไปไกลถึงการวิพากษ์ตนเอง เพราะอย่างนี้ด้วยหรือเปล่า บ้านนี้เมืองนี้ จึงเกลื่อนกล่นไปด้วยการวิพากษ์คนอื่น คิดแทนคนอื่น ตัดสินคนอื่น และ “คิดไปเอง” ว่าคนอื่นจะต้องดำเนินไปตามการตัดสินความ “ดี-งาม-จริง-ลวง” ของเรา อยู่ร่ำไป...

บอร์ดภาพยนตร์ มีมติ 18 ต่อ 4 เสียง ห้ามฉาย “เชคสเปียร์ต้องตาย”

5.11.2012

0 comments  

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 11 พฤษภาคม 2555 18:14 น.
http://www.manager.co.th/qol/viewnews.aspx?NewsID=9550000058363



บอร์ดภาพยนตร์ แบน เชคสเปียร์ต้องตาย มติเอกฉันท์ 18 ต่อ 4 เสียง “ห้ามฉาย” ด้านรองปลัด วธ.ชี้ ต้องแก้ พ.ร.บ.ภาพยนตร์ฯ มีความล้าหลัง เสียดายคนไทย-ต่างชาติ ไม่ได้ดู ส่วน ผู้สร้างขู่ ฟ้องศาลปกครอง-กรรมการสิทธิ์ ฉายหนังให้ถูกจับกุมประจานรัฐบาลไทย

วันนี้ (11 พ.ค.) ที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้มีการประชุมคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ โดยมี พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่งในการประชุมครั้งนี้ได้มีการพิจารณา ว่า จะมีการอนุญาตให้ฉายภาพยนตร์ เชคสเปียร์ต้องตาย หรือไม่ หลังจากที่คณะกรรมการภาพยนตร์ฯได้ชมภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวไปเมื่อเมื่อวัน ที่ 3 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยนางสุกุมล
คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า คณะกรรมการภาพยนตร์ฯ มีมติยืนยันตามมติคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ คณะที่ 3 ไม่อนุญาตให้ภาพยนตร์ เชคสเปียร์ต้องตาย ฉายในประเทศ โดยลงมติไม่ให้ฉาย 18 เสียง ให้ฉาย 4 เสียง และงดออกเสียง 1 เสียง ทั้งนี้ คณะกรรมการภาพยนตร์ฯ ให้เหตุผลว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ก่อให้เกิดความไม่สงบในสังคม ซึ่งขั้นตอนจากนี้ไป ทางผู้จัดสร้างภาพยนตร์มีสิทธิ์ที่จะดำเนินการทางกฎหมาย โดยสามารถร้องศาลปกครองภายใน 90 วัน

ศ.ดร.อภินันท์ โปษยานนท์ รองปลัด วธ.ในฐานะผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการภาพยนตร์ฯ กล่าวว่า ส่วนตัวเห็นว่า เราจะมีเรตติ้งไว้ทำไม พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ 2551 ทั้ง 7 เรตติ้งของ วธ.ต้องมีการปรับปรุงแก้ไข กรณีของการห้ามฉายนั้น เมื่อคณะกรรมการเสนอมาอย่างนั้น เราก็ต้องยอมรับ ทั้งนี้ หนังเรื่องเชคสเปียร์ต้องตาย เป็นตัวอย่างที่ทำให้เห็นว่า เมื่อเดินมาถึงจุดหนึ่งแล้ว ไม่สามารถใช้ พ.ร.บ.ได้ ก็ควรมีการปรับปรุงแก้ไข ในฐานะของตนที่เป็นผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการภาพยนตร์ฯ รู้สึกอึดอัดพอสมควร เนื่องจากภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะยังไงก็ตามต้องเคารพมติของบอร์ด

ด้านนายมานิต ศรีวานิชภูมิ ผู้สร้างภาพยนตร์ เชคสเปียร์ต้องตาย กล่าวว่า ตนคิดว่า หนังเรื่องนี้จะเป็นตัวอย่างหนึ่งปัญหาของสังคมไทย ในเรื่องของประชาธิปไตย เราไม่สามารถที่จะทำหนังที่มีคุณภาพ หรือสะท้อนสังคมไทยได้ เมื่อทำแล้วเราจะประสบชะตากรรมอย่างนี้ แล้วเราก็เรียกร้องให้หนังไทยมีคุณภาพ พอมีคุณภาพเราก็ไม่ให้พื้นที่แสดงออก

การแบนสะท้อนว่า สังคมไทยยังไม่ก้าวพ้น การดูหมิ่นผู้ชม ดูหมิ่นประชาชน ยังเป็นสังคมที่ล้าหลัง ซึ่งน่าเสียดาย ที่ วธ.เลือกที่จะทำแบบนี้ แทนที่จะส่งเสริม แทนที่จะสนับสนุน ที่สำคัญกรมหนึ่งส่งเสริม อีกกรมหนึ่งฉุดรั้ง ขัดแย้งกันเองในกรม ตนคิดว่า รัฐบาลชุดนี้จะต้องไปพิจารณาตัวเอง ซึ่งต้องตั้งคำถามว่า ประชาธิปไตยของท่านคืออะไร
เมื่อท่านเรียกร้องให้มาซึ่งประชาธิปไตย แต่ไม่ให้ประชาธิปไตยคนอื่น เมื่อตนเองมีประชาธิปไตย มีอำนาจก็ใช้อำนาจตามอำเภอใจ จึงเป็นเรื่องที่น่าเศร้า

ถามว่า จะเดินหน้าอย่างไร นายมานิต กล่าวว่า เป็นที่ทราบกันดีว่า มีศาลปกครอง กับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ขณะนี้ รอรับเรื่องนี้อยู่ สุดท้ายอาจจะเป็นการประท้วง โดยจัดฉาย เพื่อให้มีการถูกจับกุม เพื่อให้เป็นประเด็น ประจานประเทศไทยให้นานาชาติรับทราบ ว่า ประเทศไทย ไม่มีเสรีภาพเช่นเดียวกับประเทศจีน ที่จีนจับประชาชนตัวเองเข้าคุก ผมต้องการประกาศให้คนทั่วโลกรู้ว่า รัฐบาลนี้เป็นแบบนี้ “รัฐบาลที่อ้างตัวเองว่าเป็นประชาธิปไตย แต่ไม่ได้เป็นประชาธิปไตยเท่าไหร่”

นายมานิต กล่าวว่า ผมจะเดินหน้าเต็มที่ ผมคิดว่า การใช้เหตุใช้ผลในคณะกรรมการแห่งชาติ เราไม่สามารถใช้เหตุใช้ผลได้ อันนี้พิสูจน์แล้ว การที่ขอให้ตัดฉากนั้นฉากนี้ ผมขอคณะกรรมการโน้มน้าวเหตุผลให้ตัดฉากนั้น แต่คณะกรรมการ ไม่ได้โน้มน้าวให้ผมเปลี่ยนใจ ผมคิดว่า คณะกรรมการมีเหตุมีผล ผมฟังอยู่แล้ว แต่กรรมการให้ตัดฉากที่ไม่มีเหตุผล
ทำให้หนังมันดูแย่ ล้มเหลว และผมไม่สามารถปล่อยหนังที่ล้มเหลวออกไปได้ เพียงเพราะว่าเอาใจคณะกรรมการ เพื่อให้หนังออกมาสู่ประชาชน ผมไม่สามารถทำลายผลงานศิลปะของตัวเองที่ทำมาอย่างดีได้

“ผมคิดว่า คณะกรรมการมีหน้าที่ส่งเสริม ไม่ใช่ทำลายหนังไทย ขณะนี้เซ็นเซอร์ของไทย ทำลายหนังไทยอย่างมาก ไม่ส่งเสริมหนังไทย ผมเคยถามว่า ส่งเสริมตรงไหน ถ้าส่งเสริมจะต้องมีแนวทางที่ชัดเจน ผมไม่ทราบชะตากรรมหนังไทย ซึ่งกรรมการ ไม่สามารถชี้ได้ว่า ตรงไหนแตกแยก เวลาที่ท่านพูด พูดเป็นฉากๆ มันแตกแยกตรงไหน ต้องให้ประชาชนพิสูจน์ว่า
แตกแยกจริงหรือเปล่า การพิสูจน์ต้องนำพิสูจน์ด้วย ผมไม่แน่ใจว่าบอร์ดภาพยนตร์แห่งชาติ จะพิสูจน์กับผมมั้ย จัดโพลมั้ย ท้ากันเลยเอาคนเข้าไป 1,000 คน มาดูหนัง แล้วเทสต์กันเลยว่าจะนำไปสู่ความแตกแยกจริงมั้ย แค่คณะกรรมการไม่กี่คน แล้วมาบอกว่าจะทำให้ประเทศไทยไปสู่การแตกแยก มันไม่มีการพิสูจน์ เหตุผลที่ไร้เหตุผลแบบนี้ แล้วดูถูกประชาชน ผู้ชม เป็นสิ่งที่รับได้ยาก” นายมานิต กล่าว

บอร์ดภาพยนตร์ มีมติ 18 ต่อ 4 เสียง ห้ามฉาย “เชคสเปียร์ต้องตาย”

0 comments  

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 11 พฤษภาคม 2555 18:14 น.
http://www.manager.co.th/qol/viewnews.aspx?NewsID=9550000058363



บอร์ดภาพยนตร์ แบน เชคสเปียร์ต้องตาย มติเอกฉันท์ 18 ต่อ 4 เสียง “ห้ามฉาย” ด้านรองปลัด วธ.ชี้ ต้องแก้ พ.ร.บ.ภาพยนตร์ฯ มีความล้าหลัง เสียดายคนไทย-ต่างชาติ ไม่ได้ดู ส่วน ผู้สร้างขู่ ฟ้องศาลปกครอง-กรรมการสิทธิ์ ฉายหนังให้ถูกจับกุมประจานรัฐบาลไทย

วันนี้ (11 พ.ค.) ที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้มีการประชุมคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ โดยมี พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่งในการประชุมครั้งนี้ได้มีการพิจารณา ว่า จะมีการอนุญาตให้ฉายภาพยนตร์ เชคสเปียร์ต้องตาย หรือไม่ หลังจากที่คณะกรรมการภาพยนตร์ฯได้ชมภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวไปเมื่อเมื่อวัน ที่ 3 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยนางสุกุมล
คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า คณะกรรมการภาพยนตร์ฯ มีมติยืนยันตามมติคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ คณะที่ 3 ไม่อนุญาตให้ภาพยนตร์ เชคสเปียร์ต้องตาย ฉายในประเทศ โดยลงมติไม่ให้ฉาย 18 เสียง ให้ฉาย 4 เสียง และงดออกเสียง 1 เสียง ทั้งนี้ คณะกรรมการภาพยนตร์ฯ ให้เหตุผลว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ก่อให้เกิดความไม่สงบในสังคม ซึ่งขั้นตอนจากนี้ไป ทางผู้จัดสร้างภาพยนตร์มีสิทธิ์ที่จะดำเนินการทางกฎหมาย โดยสามารถร้องศาลปกครองภายใน 90 วัน

ศ.ดร.อภินันท์ โปษยานนท์ รองปลัด วธ.ในฐานะผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการภาพยนตร์ฯ กล่าวว่า ส่วนตัวเห็นว่า เราจะมีเรตติ้งไว้ทำไม พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ 2551 ทั้ง 7 เรตติ้งของ วธ.ต้องมีการปรับปรุงแก้ไข กรณีของการห้ามฉายนั้น เมื่อคณะกรรมการเสนอมาอย่างนั้น เราก็ต้องยอมรับ ทั้งนี้ หนังเรื่องเชคสเปียร์ต้องตาย เป็นตัวอย่างที่ทำให้เห็นว่า เมื่อเดินมาถึงจุดหนึ่งแล้ว ไม่สามารถใช้ พ.ร.บ.ได้ ก็ควรมีการปรับปรุงแก้ไข ในฐานะของตนที่เป็นผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการภาพยนตร์ฯ รู้สึกอึดอัดพอสมควร เนื่องจากภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะยังไงก็ตามต้องเคารพมติของบอร์ด

ด้านนายมานิต ศรีวานิชภูมิ ผู้สร้างภาพยนตร์ เชคสเปียร์ต้องตาย กล่าวว่า ตนคิดว่า หนังเรื่องนี้จะเป็นตัวอย่างหนึ่งปัญหาของสังคมไทย ในเรื่องของประชาธิปไตย เราไม่สามารถที่จะทำหนังที่มีคุณภาพ หรือสะท้อนสังคมไทยได้ เมื่อทำแล้วเราจะประสบชะตากรรมอย่างนี้ แล้วเราก็เรียกร้องให้หนังไทยมีคุณภาพ พอมีคุณภาพเราก็ไม่ให้พื้นที่แสดงออก

การแบนสะท้อนว่า สังคมไทยยังไม่ก้าวพ้น การดูหมิ่นผู้ชม ดูหมิ่นประชาชน ยังเป็นสังคมที่ล้าหลัง ซึ่งน่าเสียดาย ที่ วธ.เลือกที่จะทำแบบนี้ แทนที่จะส่งเสริม แทนที่จะสนับสนุน ที่สำคัญกรมหนึ่งส่งเสริม อีกกรมหนึ่งฉุดรั้ง ขัดแย้งกันเองในกรม ตนคิดว่า รัฐบาลชุดนี้จะต้องไปพิจารณาตัวเอง ซึ่งต้องตั้งคำถามว่า ประชาธิปไตยของท่านคืออะไร
เมื่อท่านเรียกร้องให้มาซึ่งประชาธิปไตย แต่ไม่ให้ประชาธิปไตยคนอื่น เมื่อตนเองมีประชาธิปไตย มีอำนาจก็ใช้อำนาจตามอำเภอใจ จึงเป็นเรื่องที่น่าเศร้า

ถามว่า จะเดินหน้าอย่างไร นายมานิต กล่าวว่า เป็นที่ทราบกันดีว่า มีศาลปกครอง กับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ขณะนี้ รอรับเรื่องนี้อยู่ สุดท้ายอาจจะเป็นการประท้วง โดยจัดฉาย เพื่อให้มีการถูกจับกุม เพื่อให้เป็นประเด็น ประจานประเทศไทยให้นานาชาติรับทราบ ว่า ประเทศไทย ไม่มีเสรีภาพเช่นเดียวกับประเทศจีน ที่จีนจับประชาชนตัวเองเข้าคุก ผมต้องการประกาศให้คนทั่วโลกรู้ว่า รัฐบาลนี้เป็นแบบนี้ “รัฐบาลที่อ้างตัวเองว่าเป็นประชาธิปไตย แต่ไม่ได้เป็นประชาธิปไตยเท่าไหร่”

นายมานิต กล่าวว่า ผมจะเดินหน้าเต็มที่ ผมคิดว่า การใช้เหตุใช้ผลในคณะกรรมการแห่งชาติ เราไม่สามารถใช้เหตุใช้ผลได้ อันนี้พิสูจน์แล้ว การที่ขอให้ตัดฉากนั้นฉากนี้ ผมขอคณะกรรมการโน้มน้าวเหตุผลให้ตัดฉากนั้น แต่คณะกรรมการ ไม่ได้โน้มน้าวให้ผมเปลี่ยนใจ ผมคิดว่า คณะกรรมการมีเหตุมีผล ผมฟังอยู่แล้ว แต่กรรมการให้ตัดฉากที่ไม่มีเหตุผล
ทำให้หนังมันดูแย่ ล้มเหลว และผมไม่สามารถปล่อยหนังที่ล้มเหลวออกไปได้ เพียงเพราะว่าเอาใจคณะกรรมการ เพื่อให้หนังออกมาสู่ประชาชน ผมไม่สามารถทำลายผลงานศิลปะของตัวเองที่ทำมาอย่างดีได้

“ผมคิดว่า คณะกรรมการมีหน้าที่ส่งเสริม ไม่ใช่ทำลายหนังไทย ขณะนี้เซ็นเซอร์ของไทย ทำลายหนังไทยอย่างมาก ไม่ส่งเสริมหนังไทย ผมเคยถามว่า ส่งเสริมตรงไหน ถ้าส่งเสริมจะต้องมีแนวทางที่ชัดเจน ผมไม่ทราบชะตากรรมหนังไทย ซึ่งกรรมการ ไม่สามารถชี้ได้ว่า ตรงไหนแตกแยก เวลาที่ท่านพูด พูดเป็นฉากๆ มันแตกแยกตรงไหน ต้องให้ประชาชนพิสูจน์ว่า
แตกแยกจริงหรือเปล่า การพิสูจน์ต้องนำพิสูจน์ด้วย ผมไม่แน่ใจว่าบอร์ดภาพยนตร์แห่งชาติ จะพิสูจน์กับผมมั้ย จัดโพลมั้ย ท้ากันเลยเอาคนเข้าไป 1,000 คน มาดูหนัง แล้วเทสต์กันเลยว่าจะนำไปสู่ความแตกแยกจริงมั้ย แค่คณะกรรมการไม่กี่คน แล้วมาบอกว่าจะทำให้ประเทศไทยไปสู่การแตกแยก มันไม่มีการพิสูจน์ เหตุผลที่ไร้เหตุผลแบบนี้ แล้วดูถูกประชาชน ผู้ชม เป็นสิ่งที่รับได้ยาก” นายมานิต กล่าว

วธ.เลื่อนชี้ขาดฉาย-ไม่ฉาย “เชคสเปียร์ต้องตาย” ยันรู้ผลก่อน 16 พ.ค.

4.29.2012

0 comments  

วธ.เลื่อนชี้ขาดฉาย “เชคสเปียร์ต้องตาย” อ้างคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ยังไม่ได้ดู ยันรู้ผลฉาย-ไม่ฉายก่อน 16 พ.ค.

วันนี้ (24 เม.ย.) ศ.ดร.อภินันท์ โปษยานนท์ รอง ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กล่าวว่า สืบเนื่องมาจาก นายมานิต ศรีวานิชภูมิ ผู้สร้างภาพยนตร์เรื่อง เชคสเปียร์ต้องตาย (Shakespeare Must Die) ยื่นอุทธรณ์คำสั่งของคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ซึ่งมี พล.ต.ต.เอนก สัมพลัง เป็นประธาน มีมติห้ามฉายภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว เนื่องจากภาพยนตร์มีเนื้อหาที่ก่อให้เกิดการแตกความสามัคคีระหว่างคนในชาติ นั้น ซึ่งเดิมคาดว่า พรุ่งนี้ (25 เม.ย.) ในการประชุมคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ที่มี พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน จะมีการพิจารณาคำอุทธรณ์และลงมติว่าจะยกเลิกคำสั่งคณะกรรมการพิจารณา ภาพยนตร์และวีดิทัศน์อนุญาตให้ฉายภาพยนตร์ดังกล่าวในประเทศไทยหรือไม่

ศ.ดร.อภินันท์ กล่าวว่า จาก การหารือเบื้องต้นในการประชุมวันพรุ่งนี้ คงไม่สามารถพิจารณาคำอุทธรณ์ได้ จะต้องเลื่อนการพิจารณาคำอุทธรณ์ออกไปอีก เนื่องจากคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ และผู้ทรงคุณวุฒิ ยังไม่ได้ชมภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว ดังนั้น ที่ประชุมคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ จะต้องหารือและกำหนดวัน ว่า จะให้คณะกรรมการทั้งหมดมาชมภาพยนตร์และลงมติเมื่อใด อย่างไรก็ตาม กระบวนการพิจารณาคำอุทธรณ์ต้องรู้ผลภายในวันที่ 16 พฤษภาคมนี้ เพราะครบกำหนดเวลา 30 วัน ตามที่ พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ.2551 กำหนดไว้

“หลายฝ่ายถามว่า หากท้ายที่สุดแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่อนุญาตให้ฉาย วธ.จะขอคืนงบประมาณ 3 ล้านบาท ของโครงการสร้างไทยเข้มแข็ง ตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ระยะที่ 2 (ปี 2553-2555) หรือไม่ เรื่องนี้ผมไม่สามารถตอบได้ ต้องรอดูผลการพิจารณาจากคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติก่อน และดูว่าจะมีมติอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องงบประมาณออกมาอย่างไร” ศ.ดร.อภินันท์ กล่าวทิ้งท้าย



http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9550000050889

“ยามเฝ้าประตูนรก” ใน “เชคสเปียร์ต้องตาย” โอ๋ – ปิยะทัต เหมทัต

0 comments  

ART EYE VIEW---ได้ศิลปินและคนทำงานศิลปะหลายแขนงมาร่วมเป็นนักแสดง สำหรับ ภาพยนตร์เรื่อง เชคสเปียร์ต้องตาย(Shakespeare Must Die) ที่เขียนบทและกำกับโดย สมานรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ หรือ อิ๋ง เค (ดัดแปลงจากบทละครโศกนาฏกรรมแม็คเบ็ธ ของวิลเลียม เชคสเปียร์ โดยมีการดัดแปลงเพื่อให้เป็นภาษาภาพยนตร์ และเข้ากับบริบทของวัฒนธรรมไทย)

หนึ่งในนักแสดงเหล่านั้น คือ โอ๋ - ปิยะทัต เหมทัต ศิลปินภาพถ่ายและเจ้าของ RMA (อาม่า) Institute พื้นที่แสดงงานศิลปะใน ซ.สายน้ำทิพย์ 2 และเป็นบุตรชายของ ศุภลักษณ์ ตัณฑาภิชาติ แห่งบริษัทประชาสัมพันธ์ “คิธ แอนด์ คิน”

“ส่วนตัวผมรู้จักพี่อิ๋ง ซึ่งเป็นผู้กำกับ และพี่มานิต (ศรีวานิชภูมิ) โป รดิวเซอร์ อยู่แล้ว ซึ่งพี่มานิตเราก็รู้จักกันดี ว่าเป็นหนึ่งในช่างภาพที่ทำงานศิลปะภาพถ่ายมาหลายปี เป็นคนที่หลายคนทั้งในไทยและต่างประเทศต่างรู้จัก พี่อิ๋ง (ภรรยาของมานิต)ขอให้ผมไปลองอ่านบท พอไปลองแล้ว เค้าคงรู้สึกว่ามีบทที่เข้ากับเรา จึงให้ไปทดลองเล่น และนักแสดงส่วนใหญ่ในเรื่องนี้ก็ล้วนแต่เป็นเพื่อนศิลปินด้วยกันทั้งนั้น”

>>ยามเฝ้าประตูนรก

วางกล้องถ่ายภาพ ไปแสดงภาพยนตร์ครั้งแรกในชีวิต บทบาทที่ช่างภาพหนุ่มได้รับ มี 3 บทบาทด้วยกัน

“บทแรก เล่นเป็นทหารที่เลือดท่วมตัว บทที่ 2 เล่นเป็นยามเฝ้าประตูนรก และบทที่ 3 เล่นเป็นมือขวาของแม็คเบ็ธ ( หรือ เมฆเด็ด (Mekhdeth) ในเรื่อง ขุนนางที่ล้มอำนาจกษัตริย์ และสถาปนาตัวเองเป็นกษัตริย์พระองค์ใหม่) เป็นคนที่คอยบริหารความชั่วร้ายให้กับแม็คเบ็ธ”

โอ๋ยอมรับว่าก่อนหน้านี้มีความรู้เกี่ยวกับนักประพันธ์ชื่อดังชาวอังกฤษอย่าง วิลเลียม เชคสเปียร์ ไม่มากนัก แต่ไม่ถึงขนาดไม่คุ้นเคย

“เคยรู้เรื่องของเชคสเปียร์มาบ้างนิดหน่อยครับ ตอนที่ไปเรียนที่อังกฤษ(โอ๋เรียนจบปริญญาตรี จาก city and guilds london art school และปริญญาโท ทางด้านศิลปะ มหาวิทยาลัยเชลซี) เชคสเปียร์เป็นหนึ่งในหลักสูตรของการเรียน ซึ่งบทประพันธ์เรื่อง แม็คเบ็ธก็เคยผ่านหูผ่านตามาบ้าง

และอย่างที่รู้กันว่าอังกฤษ เป็นประเทศของเชคสเปียร์อยู่แล้ว ไปไหนก็มีเชคสเปียร์เต็มไปหมด เชคสเปียร์เป็นนักประพันธ์ที่เจ๋งมากอยู่แล้ว ไม่มีใครปฏิเสธได้”

แต่เมื่อต้องมาสวมบทบาทนักแสดงใน ภาพยนตร์ซึ่งดัดแปลงมาจากบทประพันธ์ของนักประพันธ์ดังระดับโลก จะให้รู้จักเชคสเปียร์บ้างนิดหน่อย และแค่ผ่านหูผ่านตา “แม็คเบ็ธ” บทประพันธ์เรื่องดัง อยู่เหมือนเดิม คงไม่พอ

“ต้องศึกษาเยอะเหมือนกันฮะ เพราะว่าบทที่ได้มา เป็นบทที่ท้าทายมาก การเป็นยามเฝ้าประตูนรก มันเป็นกึ่งอสูรกับสัตว์ประหลาด มันไม่ใช่คนปกติ

นอกจากอ่านบทประพันธ์ที่พี่ อิ๋งแปลมา ยังต้องกลับไปอ่านในสิ่งที่เชคสเปียร์เขียนไว้ แต่มันแทบไม่ต่างกันเลยฮะ เพราะสิ่งพี่อิ๋งแปลจากภาษาอังกฤษแปลมาเป็นภาษาไทย ค่อนข้างตรงตัว”


>>กองถ่าย แหล่งรวม ศาสตร์และศิลป์หลายแขนง

ปกติต้องทำงานศิลปะด้านภาพถ่ายและ บริหารจัดการผลงานศิลปะของศิลปินที่จะเข้ามาจัดแสดงในแกลเลอรี่ พอมาชิมลางเล่นภาพยนตร์ โอ๋บอกว่า ได้เรียนรู้ว่ากระบวนการสร้างภาพยนตร์สักเรื่อง ต้องอาศัยศาสตร์และศิลป์หลายแขนง

“ได้เรียนรู้เยอะมากเลยครับ แค่ไปเซ็ทฉากและทำงานกับคนทั้งทีมกับผู้กำกับ กับ DOP หรือว่านักแสดงคนอื่น รวมไปถึง ช่างไฟ ช่างกล้อง เราได้เรียนรู้กระบวนการทำหนัง ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย มันเหมือนการใช้ศาสตร์ทุกศาสตร์

อย่างผมเป็นช่างภาพเนี่ย ผมจะรู้แค่ศาสตร์ที่เกี่ยวกับภาพถ่าย การ EDIT งานนิดหน่อย และการนำเสนอผลงานภาพถ่ายของตัวเองออกไป แต่ว่าการทำหนังเนี่ย มันมีเรื่องของ Sound ,Lighting,บท ,การตัดต่อ และอีกหลายเรื่องเยอะแยะเต็มไปหมด มันละเอียดอ่อน และมีรายละเอียดเยอะมาก

ผม ได้เรียนรู้จากตรงนั้นเยอะเหมือนกัน และเราเองก็ต้องทำความเข้ากับระบบการทำงานในกองถ่าย ทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของบทที่เราต้องรับผิดชอบด้วยว่าเราจะทำอย่างไร ไม่ให้หนังเขาเสีย หรือว่าไม่ให้ตัวเองขายหน้า คือเรารับบทมาแล้ว เราก็ต้องศึกษาและทำให้ดีที่สุด รับผิดชอบมันให้ได้

และในฐานะนักแสดงเรื่องนี้ผมก็เชื่อ ในบทฮะ และเชื่อในตัวผู้กำกับก็เลยไปร่วมด้วย แต่ว่าส่วนหนึ่งตัวผมเองกับการที่รับงานนี้เนี่ย เพราะผมคิดว่ามันเป็นอะไรที่ท้าทาย เหมือนผมต้องเรียนรู้หลายๆอย่าง และสิ่งใหม่ๆเยอะมากเพื่อจะพาตัวเองก้าวไปอีก Step หนึ่ง เพื่อจะรองรับบทบาท และความรับผิดชอบตรงนี้

เพราะปกติแล้วการเป็นช่างภาพ ที่ผมทำอยู่ ก็ไม่มีโอกาสที่จะทำอะไรตรงนี้ใช่ไม๊ฮะ ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ว่าการแสดง การอยู่ในกองถ่าย มันอะไร อย่างไร พอมาเจออย่างนี้แล้วเนี่ย บทมันท้าทายมาก ยามเฝ้าประตูนรกหน่ะครับ มันต้องถอดเสื้อ ต้องใส่โสร่ง แล้วมือก็ถือไม้เท้า มันท้าทาย”


>> แบน “เชคสเปียร์ต้องตาย” ปิดโอกาสคนไทย ทำความรู้จัก “วิลเลียม เชคสเปียร์”

อย่างที่ทราบกันโดยถ้วนหน้า ว่า คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ มีมติไม่อนุญาตให้ฉายภาพยนตร์ เรื่อง เชคสเปียร์ต้องตาย (Shakespeare Must Die)โดยให้เหตุผลว่าภาพยนตร์ มีเนื้อหาที่อาจก่อให้เกิดการแตกความสามัคคีระหว่างคนในชาติ

และทางผู้สร้างภาพยนตร์ได้ทำ หนังสือยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ซึ่งในวันที่ 25 เมษายนที่จะถึงนี้ คณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ จะมีการประชุม เพื่อพิจารณาคำอุทธรณ์และลงมติ ว่า จะยกเลิกคำสั่งคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ และอนุญาตให้ฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ในประเทศไทยหรือไม่ (ล่าสุดเลื่อนไปเป็น วันที่ 11 พ.ค.55)

หากผลไม่เป็นไปตามที่ทีมผู้สร้างภาพยนตร์ปรารถนา สิ่งที่หนึ่งในแสดงของเรื่องคนนี้รู้สึกก็คือ

“ถ้าถูกแบน ก็รู้สึกเศร้าใจฮะ มันกระทบเราโดยตรงด้วย เพราะว่าในฐานะศิลปินเราก็เชื่อในเรื่องการที่เรามีเสียง การที่เรามีตัวตน การที่เราทำงานเพื่อเป็นตัวแทนของเรา เรามีเรื่องอะไรที่อยากจะนำเสนอ ที่เราแคร์ เราก็ทำเกี่ยวกับมัน กลับกลายเป็นว่า สำหรับศิลปินบางคน กลับทำตรงนี้ไม่ได้

เราก็รู้สึกเสียใจกับผู้กำกับ แล้วก็กับคนในประเทศด้วย ที่เหมือนไม่ได้มีโอกาสได้ใช้วิจารณญาณของตัวเองในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับ งานศิลปะ และเกี่ยวกับอะไรก็ได้ กลับกลายเป็นถูกยึดโอกาสตรงนั้นไป ด้วยคนไม่กี่คน

ผมก็ไม่ทราบนะครับว่า ทางผู้กำกับเค้าจะทำอย่างไรต่อ แต่เท่าที่รู้ก็คือ ข่าวที่ถูกแบนมันกระจายไปทั่วโลก แล้วเค้าก็ได้รับความสนใจ เพราะมีสื่อจากทั่วโลกมาสัมภาษณ์เค้า

ผมว่าการทำงานศิลปะ มันเหมือนเราคลอดลูกออกมาคนหนึ่ง เราไม่ค่อยมีอิทธิพลไปลิขิตชีวิตมันเท่าไหร่ มันก็จะไปของมันเอง ผมว่าผู้กำกับก็กำหนดไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้”

นอกจากรู้สึกเศร้าใจ ยังรู้สึกเสียดายด้วยว่า คนไทยอีกจำนวนไม่น้อย จะถูกตัดโอกาสที่จะได้ทำความรู้จัก วิลเลียม เชคสเปียร์

“เรื่องราวของเชคสเปียร์ ไม่ค่อยได้ถูกเผยแพร่ในประเทศไทยเท่าไหร่ แล้วนักประพันธ์คนนี้ เค้าก็มีสาระมากมายที่เราทุกคนสามารถเรียนรู้ได้

ผมอยากให้หนัง สามารถได้ฉายในประเทศไทย เพื่อคนจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับบทประพันธ์ของเชคสเปียร์ และมากไปกว่านั้น ผู้กำกับและทีมงานที่ทำหนังเรื่องนี้ เค้าทำด้วยใจ เพราะเค้าแคร์ เค้าถึงทำมันออกมา”

>> “แม็คเบ็ธ” สะท้อนความโลภของมนุษย์

และที่สำคัญประเด็นหลักที่ทีมผู้ สร้างภาพยนตร์ต้องการสื่อสารกับผู้ชม ช่างภาพหนุ่ม ผู้กำลังจะมีนิทรรศการแสดงเดี่ยวภาพถ่ายของตัวเองครั้งแรกบนพื้นที่ แกลเลอรี่ที่ตัวเองก่อตั้ง ในรอบ 2 ปี แต่ผลันตัวเองมาเป็น “ยามเฝ้าประตูนรก” ชั่วคราว บอกว่า

“เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้ซึ่ง ดัดแปลงมาจากบทประพันธ์เรื่อง แม็คเบ็ธ ของเชคสเปียร์ เกี่ยวข้องกับสันดานมนุษย์ที่มีแต่ความโลภ และบางทีก็มีความทะเยอทะยานมากเกินไป

จนในที่สุดไม่สามารถควบคุม มันได้ จนกลายว่าการที่เราจะโลภเป็นเรื่องธรรมดา แล้วก็ไม่พอซะที แม็คเบ็ธเป็นเรื่องที่เตือนสติ ให้คนรู้ และเข้าใจเกี่ยวกับความตะกละ ความโลภมากของคน เพื่อเราจะได้ไม่ไปทำตาม”

Text by ฮักก้า


http://www.manager.co.th/CelebOnline/ViewNews.aspx?NewsID=9550000050101

เชื่อบรรยากาศการเมืองเหตุแบน “เชคสเปียร์ต้องตาย”

4.08.2012

0 comments  

Manager Online
http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9550000043397


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 เมษายน 2555 18:59 น.

โปรดิวเซอร์ “เชคสเปียร์ต้องตาย” เชื่อบรรยากาศการเมืองส่งผลทำหนังถูกแบน ย้ำ ประเด็นสำคัญต้องการชี้ให้เห็นธาตุแท้มนุษย์ผู้โลภมาก บ้าอำนาจ และมีความมักใหญ่ใฝ่สูงที่ไร้ขอบเขตถูกดาบจากคณะกรรมการ พิจารณาภาพยนตร์ หรือ “กองเซ็นเซอร์” ฟันฉับสั่งห้ามฉายไปอีกหนึ่งเรื่องสำหรับภาพยนตร์ไทย “เชคสเปียร์ต้องตาย” (Shakespeare Must Die) ผลงานการกำกับของ “สมานรัชฎ์ 'อิ๋ง' กาญจนะวณิชย์ หรือ อิ๋ง เค (Ing K) เจ้าของรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม รางวัล “คมชัดลึก อวอร์ด ครั้งที่ 7 ประจำปี 2552 จากสารคดีเรื่องยาว “พลเมืองจูหลิง”

ทั้งนี้ ตามเอกสารบันทึกการตรวจพิจารณาภาพยนตร์ได้ระบุถึงเหตุผลของการแบนภาพยนตร์ เรื่องนี้ไว้ว่า...“คณะกรรมการพิจารณาเห็นว่า ภาพยนตร์เรื่องเชคสเปียร์ต้องตาย (Shakespeare Must Die) มีเนื้อหาที่ก่อให้เกิดการแตกความสามัคคีระหว่างคนในชาติ ตามกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของประเภทภาพยนตร์ และวีดิทัศน์ พ.ศ.2552 ข้อ 7(3) จึงมีมติไม่อนุญาต โดยจัดเป็นประเภทภาพยนตร์ที่ห้ามเผยแพร่ในราชอาณาจักร ตามมาตรา 26 (7) แห่งพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวิดีทัศน์ พ.ศ.2551”

โดยหลังจากที่ทีมผู้สร้างได้นำผลการพิจารณาที่ว่ามาเผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ www.shakespearemustdie.com ในโลกออนไลน์ก็ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทันทีโดยส่วนใหญ่ ต่างมองว่าการแบนภาพยนตร์ได้รับทุนสร้างจากกองทุนส่งเสริมภาพยนตร์ของสำนัก งานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย (สศร.) กระทรวงวัฒนธรรม ภายใต้โครงการไทยเข้มแข็งเมื่อปี พ.ศ.2553 เรื่องนี้นั้นบรรยากาศทางด้านการเมืองที่เป็นอยู่ในปัจจุบันน่าจะมีส่วน สำคัญอยู่ไม่น้อย

“ของเราเป็นหนังเรื่องสุดท้ายที่ถูกพิจารณาครับ ก็ตั้งแต่แรกก็มีการนำเสนอตัวบทอะไรต่างๆ ก็ผ่าน ตามขั้นตอน แต่จากตัวบทพอมันมาเป็นตัวหนังประกอบกับสถานการณ์การเมืองมันเปลี่ยนมันก็มี ความกังวลเกิดขึ้นกับกรรมการที่ตรวจสอบซึ่งก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ตอนส่งเข้าไปตรวจสอบก็มีการดูหนังถึง 3 รอบ หนังยาว 3 ชั่วโมงครับ ดูอย่างละเอียดจริงๆ แล้วก็มีการเรียกเข้าไปคุยทั้งสามรอบ ก็เห็นว่าเขาหนักใจ เห็นได้ชัดว่ามีความกลัวอยู่ ไม่รู้ว่ากลัวอะไร” มานิต ศรีวานิชภูมิ ผู้อำนวยการสร้าง “เชคสเปียร์ต้องตาย” เล่าถึงบรรยากาศในวันพิจารณาของกองเซ็นเซอร์

“เชคสเปียร์ต้องตาย” สร้างขึ้นจากบทละคร “โศกนาฏกรรมแม็คเบ็ธ” (The Tragedy of Macbeth) ของ วิลเลียม เชคสเปียร์ (William Shakespeare) กวีเอกของโลก ว่าด้วยเรื่องราวของขุนพลที่มักใหญ่ใฝ่สูงอย่างไร้ขอบเขต และคลั่งไคล้ในไสยศาสตร์ ที่ถูกแม่มดทักว่าจะได้เป็นกษัตริย์ในภายหน้า และโดยการยุยงของภรรยา เขาจึงสังหารพระราชาเพื่อสถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์ แล้วขึ้นปกครองแผ่นดินด้วยความบ้าอำนาจจนทำให้บ้านเมืองตกอยู่ในยุคมืดมน แห่งความหวาดกลัว ขณะที่ตัวของเขาเองก็หาได้มีความสุขแต่อย่างใดเพราะต้องใช้ความรุนแรงเพื่อ รักษาอำนาจของตนไว้นั่นเอง”

“ส่วนหนึ่งก็คงจะเป็นเพราะบรรยากาศทางการเมืองมันมีผลกับคณะกรรมการที่เป็น กระทรวงเดียวกันที่สนับบสนุนหนังเรื่องนี้แล้วก็แบนเรื่องนี้ ซึ่งที่ผ่านมาเราก็ผ่านขั้นตอนต่างๆ ตามที่กำหนดมา อย่างบางส่วนบางตอนที่มีการติงว่าฉากปลงพระชนม์ตามบทละครเขากลัวจะเป็น ปัญหา...ตอนนั้นเราก็ยินดีเราก็ไม่มีรายละเอียดมีฉากที่เป็นการลงมืออะไร ต่างๆ มีแต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตัวละครก็วิ่งออกมาเล่าให้ฟัง ซึ่งตรงนี้ก็ผ่านไปแล้ว มีการดูเรียร้อยแล้ว ไม่มีปัญหาอะไร”


มีฉากไหนหรือว่าประเด็นอะไรที่คณะกรรมการบอกว่ามันเป็นปัญหาจนต้อง แบน? หรือว่ามันเป็นเนื้อเรื่องรวมๆ ทั้งหมด?...“มีบางส่วนที่เขาสงสัยเราก็อธิบายไป แต่สุดท้ายบอกว่าให้เราเอาไปปรับปรุง เราก็ถามว่าปรับปรุงอะไรทางนั้นบอกไม่ทราบ ต้องกลับไปปรับปรุง”

“อย่างในหนังมันมีฉากซึ่งมีการนำเอาภาพเหตุการณ์สมัย 6 ตุลามาใช้ เป็นฉากที่ผู้สร้างละครล้อเลียนผู้นำ ภาพที่มีคนถูกตีด้วยเก้าอี้ซึ่งเป็นภาพข่าวของสำนักข่าวเอพี เขาก็ห้ามใช้ ทั้งๆ ที่มันไม่มีกฏหมายที่ห้ามใช้ภาพถ่ายนี้ แล้วภาพยนตร์ทำผิดกฎหมายตรงไหน ก็เอามาจากคลิปข่าว”

“แล้วการถ่ายทำก็ไม่ได้เน้นความรุนแรงของการฟาดการตีอะไร แต่เรามุ่งไปที่อารมณ์ความรู้สึกของไทยมุงที่ยืนดูการฆ่าครั้งนี้ได้อย่าง เหมือนกับเป็นมหกรรมความสนุกสนาน ความขัดแย้งเคยนำมาสู่ความรุนแรงมาแล้ว ไม่ว่าจะฟากฝั่งการเมืองฝั่งไหน ประชาชนนั่นแหละที่ตกเป็นเหยื่อที่ถูกเสี้ยมให้มาฆ่ากันเอง เราอยากจะสะท้อนให้คนกลับมานั่งคิดตรงนี้”

มานิต ย้ำว่า โดยเนื้อหาหลักของหนังนั้นเป็นเรื่องอารมณ์ของมนุษย์ มุ่งให้มนุษย์ได้หันมาตรวจสอบพิจารณาอารมณ์ความรู้สึกของตนเอง บอกเล่าให้เห็นถึงความ รัก โลภ โกรธ หลง ที่มีอยู่ในตัวของคนส่วนใหญ่ ซึ่งตนไม่เข้าใจว่าในประเทศไทยเราไม่สามารถพูดถึงเรื่องศีลธรรม ความโลภ ความบ้าอำนาจ ความมักใหญ่ใฝ่สูงอันไร้ขอบเขตกันได้อีกแล้วหรือ

“เขากลัวว่าหนังเรื่องนี้เป็นปัญหา กระทบกระเทือนการปรองดอง หนังมันมีพลังขนาดนั้นเลยหรือ ถ้าเพื่อที่จะวิจารณ์ทำแบบอาจารย์ธีรยุทธพูดทีเดียวสะเทือนกันไปแบบนั้นไม่ ดีกว่าหรือ ที่สำคัญหนังเรื่องนี้เน้นการตรวจสอบวิเคราะห์ตัวเอง ถ้าใครติดตามงานเช็คสเปียร์งานเขาจะเน้นที่ตัวตนของมนุษย์ที่มันมี รัก โลภ โกรธ หลง ไม่ว่าคนนั้นจะมีความเชื่อทางการเมืองไปทางไหนท้ายที่สุดก็ลงท้ายด้วยเรื่อง นี้ เพราะมันเป็นแก่นแท้ของมนุษย์ ถ้าเราไม่ควบคุมมันก็อาจจะลุกลามไปสู่โศกนาฏกรรมเหมือนแม็คเบ็ธ ที่มีแต่ความมักใหญ่ใฝ่สูง”

“แต่ถ้าโยงประเด็นนี้ไปถึงเรื่องของการเมืองจริงๆ แล้วเราพูดไม่ได้หรือครับ กับสิ่งที่เกิดขึ้นมันพูดไม่ได้หรือครับ ในสื่ออื่นๆ ได้ แต่หนังไม่ได้ ต้องเปลี่ยน ไม่วิจารณ์ ทั้งที่หนังไม่ได้เรียกร้องให้มีการเปลี่ยนชนชั้นหรือว่าล้มศักดินาอะไรขนาด นั้น แต่เป็นการชำแหละความรู้สึกภายใน พูดถึงคนที่ลุแก่อำนาจซึ่งเป็นพื้นฐานในตัวทุกคนถ้าแต่ละคนไม่ระมัดระวัง แล้วถ้ามองว่าแบบนี้ไม่ได้ ต้องตัด ก็หมายความว่าเราไม่ต้องมาสำรวจตนเอง ง่ายมากแบบนี้เลย แค่รู้สึกว่าเรื่องนี้หมิ่นทักษิณ ห้าม เราคิดแค่นั้นก็จบ แบบนี้ใครกันที่ไม่ก้าวพ้นเสียที”

ปีที่แล้วละครเรื่องแม็คเบ็ธเคยจัดแสดงโดยคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวมถึงถูกสร้างเป็นภาพยนตร์มาแล้วหลายครั้ง ทั้งนักทำหนังอินเดีย ญี่ปุ่น และจีน แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร...“ผมอาจจะเข้าใจว่าคนที่มีหน้าที่เขาคงไม่เคยดู ก็เลยไม่มีปัญหา ถ้าดูก็อาจจะห้ามก็ได้”

ท้ายสุดผู้อำนวยการสร้าง “เชคสเปียร์ต้องตาย” เผยว่า ตนจะยื่นเรื่องอุทรณ์เรื่องนี้ในวันที่ 17 เมษายนเพื่อจะขอเสียงคัดค้านในประเด็นข้อที่มีการอนุญาตให้คณะกรรมการแบน หนังได้ทั้งๆ ที่กฏหมายจัดเรตติงนั้นก็ออกมาแล้ว

“ผมว่า หนังเป็นอาชีพเดียวที่ดูเหมือนจะมีเสรีภาพน้อยที่สุดแล้ว อย่าลืมทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์มีเสรีภาพมากกว่าเยอะ อย่างวิทยุชุมชนอัดกันเต็มที่ สีไหนค่ายไหนก็ซัดกันเต็มที่ แต่หนังเผยธาตุแท้ของมนุษย์ทั่วๆ กลับโดนแบน...ประเด็นคือผมกำลังพูดถึงเรื่องสิทธิเสรีภาพอยู่ โดยเฉพาะกลุ่มที่อ้างมาตลอดเกี่ยวกับประชาธิปไตย แล้วแบบนี้มันประชาธิปไตยตรงไหน”