http://filmax.in.th/reviews273.html
มโนธรรม เทียมเทียบรัตน์
ควันหลงจากกรณี เชคสเปียร์ต้องตาย
คงไม่มีอะไรมากไปกว่านาฏกรรมทะลุจอ
โดยมีสาเหตุมาจากหนังเรื่องเดียวที่สร้างผลกระทบลุกลามไปยังภาคส่วนอื่น ๆ
ที่ยาวไกล ทว่าสุดท้ายคือการได้มาซึ่งสารคดีอีกเรื่อง
ซึ่งตัวของมันเองก็พร้อมที่จะสร้างแรงกระเพื่อมไปยังทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
อีกระลอกจนได้
ถ้าถามว่าการมีหนังอย่าง เซ็นเซอร์ต้องตาย (สมานรัชฏ์ กาญจนวณิชย์, มานิต ศรีวาณิชภูมิ)
จะเข้าข่ายยั่วยุให้เกิดการแตกแยกระหว่างคนในชาติกับเขาอีกเรื่องด้วยรึ
เปล่า ก็คงต้องตอบว่า ‘ใช่’ โดยไม่ต้องสงสัย อย่างน้อย ๆ
ก็คือการกระตุ้นเตือนให้ตระหนักรู้ถึงการครอบงำ
และการปิดหูปิดตาที่ยังคงมีอยู่ ภายใต้บริบทของการถูกปลูกฝังว่ามันไม่มี
ทว่าผ่านการซ่อนรูปให้มีความซับซ้อน และเนียนจนไม่รู้สึกว่ามี
วัฒนธรรมของการถูกริดรอนสิทธิ์จริง ๆ
มีอยู่ทั่วไป เพียงแต่เราจะรู้ถึงกลไกของมันรึเปล่า
ซึ่งมิใช่จำกัดอยู่แค่เรื่องของเซ็นเซอร์ (การบังเบลอ และดูดเสียง
ซึ่งเราคงชินไปแล้ว)
หากแต่ยังครอบคลุมถึงกระบวนการคัดกรองโดยเลือกเปิดเผยบางส่วน
และไม่พึงเปิดเผยบางส่วนออกสู่สาธารณะ ที่เกิดขึ้นแน่ ๆ
ในระยะหลังก็คือการสงวนและปิดบังชื่อจริง นามสกุลจริง ตลอดจนชื่อของสถานที่
สถานประกอบการ ชื่อสถาบัน ในระดับที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
พอจะกล่าวได้ว่ายิ่งนานกลไกและกระบวนการ
เซ็นเซอร์และคัดกรอง (โดยเฉพาะในส่วนของ fact ที่ไม่ควรเปิดเผย)
จะยิ่งเพิ่มความเข้มงวด การใช้นามสมมติ
การสแกนโมเสกคือสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไป ควบคู่ไปกับการเสนอ ‘ความเป็นจริง’
ภายใต้พื้นที่ข่าว
นั่นคือที่ไหนมีข่าว/ข่าวสาร/ข้อเท็จจริง
ที่นั่นมักมีการ ‘เซ็นเซอร์’ อยู่เคียงข้างซึ่งกันและกันเสมอ
ตราบใดที่ภายใต้กลไกการทำงานของกระบวนการเซ็นเซอร์ยังคงมีเรื่องของกฎหมาย
และอำนาจการปรับใช้ คอยรองรับความชอบธรรมอยู่เบื้องหลัง
จริงอยู่
การมีอยู่ของระบบเซ็นเซอร์อาจมิใช่ตัวน่าขยะแขยง
ทว่าโดยเจตนาที่แท้จริงอาจหวังเพียงแค่การจัดระเบียบให้คนทำหน้าที่สื่ออยู่
ภายใต้โอวาท และคงไว้ซึ่งสถานภาพเดิมของความเป็นระเบียบเรียบร้อย
(การเชิดชูสิ่งที่มีอยู่แล้วอย่างอุดมการณ์กระแสหลัก
คือสิ่งที่ยอมรับได้และพึงได้รับการสนับสนุน ส่วนสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน
เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ตลอดจนการนำเสนอที่หมิ่นเหม่ท้าทาย
ก็ได้กลายเป็นอะไรที่ชวนให้ตั้งคำถาม เฝ้าระวัง
หรือแม้กระทั่งควรถูกสกัดกั้น)
จริงอยู่ แม้การสกัดกั้นหนังอย่าง Shakespeare Must Die คงมิได้มีสาเหตุอยู่แค่การเป็นครั้งแรกที่มีการดัดแปลงบทละครของ เชคสเปียร์ มา
ทำเป็นภาพยนตร์ ทว่าโดยกระแสที่มีมาตั้งแต่ยุคสมัยของตัวบทประพันธ์เอง
คือการสร้างการมีส่วนร่วม (ระหว่างคนดูและเรื่องราวบนเวที)
ควบคู่ไปกับการวิพากษ์วิจารณ์ที่มีมากกว่าการตำหนิโจมตี
ผลลัพธ์ที่ได้คือละครจะไม่จบอยู่แค่ในโรง
ทว่ายังเกิดขึ้นต่อเนื่องออกมาถึงข้างนอก ต่อให้เรื่องจบ
แต่คนดูไม่ยอมให้จบ เมื่อเอาทุกอย่างมาประกอบกันเข้า
สิ่งที่ตามมาก็คือการขับเคลื่อนที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องแบบไม่รู้จบ
หัวใจสำคัญของการดูละครเชคสเปียร์จึงเป็น
เรื่องของการมีอารมณ์ร่วมยังไม่พอ
ทว่าหากยังต้องการอะไรบางอย่างมาช่วยกระตุ้นเพื่อสร้างการมีส่วนร่วม
หลังจากนั้นทั้งเรื่องราวและสังคมรอบนอกก็จะเกิดการหลอมรวมเป็นเนื้อเดียว
กันในที่สุด (ดูเพิ่มเติมได้จาก Anonymous ของ โรแลนด์ เอมเมอริช และการดัดแปลงงานเชคสเปียร์ในรุ่นหลัง ๆ ซึ่งมีแนวโน้มที่มักมุ่งเน้นไปที่การปรับเปลี่ยนยุคสมัยให้ดูใกล้ตัวมากขึ้นอย่าง Coriolanus หรือ Caesar Must Die
ไม่เกี่ยวอะไรกัน) ซึ่งในการนี้ต้องขอนับว่าทั้งคุณอิ๋งและคุณมานิตทำ
‘ทุกอย่าง’ ออกมาได้ทั้งเข้าเป้า และเกินความคาดหมายของทุกฝ่ายจริง ๆ
ไม่ว่าจะอย่างไร เชคสเปียร์ต้องตาย
ก็ยังเป็นเพียงผลงานภาพยนตร์ ส่วน เซ็นเซอร์ต้องตาย
กลายเป็นนาฏกรรมในรูปของสื่อสารคดีที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ของคนทำงานสื่อ
ซึ่งแม้แต่วิลเลี่ยม
เชคสเปียร์เองก็ไม่เคยบันทึกปรากฏการณ์ที่พูดถึงงานละครของตัวเอง
โดยปรับแต่งให้ออกมาในรูปผลงานใหม่ได้อีกเรื่อง ซึ่งโดยตัวของ product เอง
ครั้นจะเรียกให้เป็นภาค 2 ก็คงไม่เต็มปาก ทั้ง ๆ ที่ถูกแล้ว Censor Must
Die น่าจะเกิดขึ้นก่อน Shakespeare Must Die เสียด้วยซ้ำ
เนื่องจากเป็นสิ่งที่มีมาก่อนตั้งแต่แรกแล้ว
แปลว่าต่อให้ใครที่ยังไม่เคยดู เชคสเปียร์ต้องตาย
ย่อมมิใช่ปัญหาต่อการเข้าถึง เซ็นเซอร์ต้องตาย แต่อย่างใด
ทว่าตราบใดที่ไม่มี เชคสเปียร์ต้องตาย ก็คงไม่มีหนังชื่อ เซ็นเซอร์ต้องตาย
เป็นแม่นมั่น
ในทางกลับกัน เซ็นเซอร์ต้องตาย
ก็ยังได้ชื่อว่าเป็นผลงานที่มาจากเชคสเปียร์ แต่ตัวเชคสเปียร์กลับไม่เคยทำ
แต่ถึงตัวเจ้าของเรื่องไม่ทำเอง
การเล่าถึงผลกระทบซึ่งส่งแรงปะทะย้อนกลับเข้าหาตัวผู้สร้างสรรค์ผลงานกลับมี
ให้พบเห็นในวรรณกรรมเรื่องอื่น ๆ อย่าง Don Quixote ของ เอสเตบาน เซอร์วันเตส ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงเกิดขึ้นระหว่างการไต่สวนคดีความ, The Trial ของ ฟรานซ์ คาฟคา
ซึ่งเล่าถึงความเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้กับตัวบทกฎหมายที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลง
ได้ตลอดเวลา (โดยเฉพาะกับการเล่นกับ ‘ประตู’ อันมีนัยถึง ‘ช่องทาง’
ต่อการเข้าถึงที่หลากหลาย ทว่าตัวละคร เค เปิดผิดหมดตลอดเรื่อง)
และคงไม่มีอะไรเท่าทั้ง Macbeth, The Trial, Don Quixote
ล้วนแล้วแต่เคยผ่านการดัดแปลงโดยมือคนคนเดียวกัน คือ ออร์สัน เวลส์ เท่า ๆ กับนามแฝงของสมานรัชฏ์ ที่มักใช้คำว่า Ing K. ในหลาย ๆ แห่ง ก็บังเอิญไปพ้องกับบทนำของเรื่อง The Trial อย่าง โจเซฟ เค.
โดยทั่ว ๆ ไป
การจะได้มาซึ่งสารคดีที่สมบูรณ์
บางครั้งตัวคนทำอาจต้องเอาตัวเองเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของข้อเท็จจริง
เพื่อที่จะให้เป้าประสงค์หรือข้อเท็จจริงวิ่งเข้ามาชน
ซึ่งมีทั้งที่โดยตั้งใจและแบบเป็นไปโดยไม่รู้ตัว (อันนี้ ไมเคิล มัวร์ ถนัด โดยเฉพาะในสารคดีสำคัญ 2 เรื่อง Farenheit 9/11 กับ Roger & Me)
ฉะนั้นไม่แปลกถ้าจะเห็นคุณมานิตได้ผันตัวเองขึ้นมารับบทนำ (ในส่วนของภาพ)
และมีเสียงของคุณอิ๋งคอยออฟซีนเข้ามามีส่วนร่วมในด้านของเสียง
ทั้งหมดของ เซ็นเซอร์ต้องตาย และ
เชคสเปียร์ต้องตาย คือเรื่องของการเอาตัวเองป้อนเข้าสู่ระบบ
โดยหวังจะให้ดูกลืนไปกับคนอื่น หรือหนังเรื่องอื่น ๆ ที่อยู่ในระบบ ณ
วันที่ออกสู่ตลาด โดยผ่านกระบวนการตรวจพิจารณา
ซึ่งนอกจากจะแวดล้อมไปด้วยหนัง main stream สารพัดเรื่อง
กล้องยังมีการจับใบหน้าของคุณมานิตในอิริยาบทที่คู่ขนานไปกับ standy
จากหนังเรื่อง Men in Black 3 เป็นภาพ วิล สมิธ ที่บังเอิญสวมแว่นดำตรงกัน
ลำพังแค่การเล่นกับ Men in Black 3 ก็คงยังไม่เท่ากับการมีผืนผ้าใบโฆษณาหนัง อันธพาล
แวบเข้ามาผ่านทางกล้อง (พร้อมด้วยสโลแกน tag-line ที่ว่า
‘แดงกำลังจะกลับมา’ ซึ่งไปไกลเกินขอบเขตตัวหนัง
ทว่าไม่ยากถ้าหากจะเชื่อมโยง)
ซึ่งเป็นเรื่องของปฏิภาณของคนทำสื่อที่อาศัยสิ่งรอบข้างมาผันเป็นวัตถุดิบ
ในขณะที่ทิศทางของหนังเป็นเพียงแค่การปล่อยให้ข้อเท็จจริงค่อย ๆ
เผยตัวเองออกมาเรื่อย ๆ
เพราะแม้แต่เส้นทางจากตึกที่ทำการของกระทรวงวัฒนธรรม
ซึ่งเชื่อมต่อมายังเส้นราชดำเนิน โดยเฉพาะในช่วงเย็นซึ่งทุกคนทราบดี
เมื่อถึงคราวที่เส้นทางการจราจรมาหยุดนิ่ง ณ
จุดซึ่งเป็นที่ตั้งของพานรัฐธรรมนูญบนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
แค่นี้คนดูก็พร้อมแล้วที่จะ ‘อ่าน’
จุดมุ่งหมายของคนทำโดยไม่เห็นเป็นอย่างอื่นกันทั้งโรง
ขอแค่ 3
ซีนที่เป็นข้อพิสูจน์ถึงคุณภาพของคนดูในโรงด้วยกัน
ซึ่งมีจำนวนมากกว่ากรรมการจัดเรตของทุกชุด ทุกบอร์ดรวมกัน
ทว่าเต็มไปด้วยความเห็นซึ่งเป็นตรงกันข้ามกับคณะ raters แน่นอน
ซึ่งเป็นการเอา intellectual media มาขยายสิ่งที่ตาเห็น
ขณะที่การทำหน้าที่ในส่วนของดราม่าอย่างการย้ายฐาน
ย้ายเวทีการต่อสู้ที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่เรื่อย ๆ
เมื่ออุทธรณ์แล้วก็ยังไม่ผ่าน
ซึ่งนำไปสู่การยื่นเสนอต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ทำเนียบรัฐบาล
จนในที่สุดก็ส่งฟ้องศาลปกครอง ซึ่งมีแต่ขยับชั้น
เลื่อนชั้นที่ทั้งสูงและไกลใหญ่โต
ถ้าหากคำนึงว่ามีจุดเริ่มต้นจากการเป็นหนังเรื่องเดียว
แต่เท่าที่เห็นมาตลอด
แท้จริงแล้วเป็นเพียงแค่การต่อสู้เพื่อ เชคสเปียร์ต้องตาย ซึ่งเป็นหนังภาค 1
ล้วน ๆ ขณะที่วันเวลาข้างหน้าของตัวหนัง เซ็นเซอร์ต้องตาย จะเป็นอย่างไร
ยังไม่มีใครบอกได้ ในรายของ เชคสเปียร์ต้องตาย
การพิจารณาในชั้นศาลมีการกำหนดวันไว้ล่วงหน้าว่าเป็นคดีความในงวดปี 2556
ขณะที่ตัวหนัง เซ็นเซอร์ต้องตาย เองยังคงยืนอยู่บนขาของตัวเองตามลำพัง
การมีหนังอย่าง เซ็นเซอร์ต้องตาย
คงไม่ต่างอะไรกับการยืนยันถึงสิ่งที่สาธารณะไม่เคยนึกว่าจะมีอยู่
(ซึ่งจริง ๆ มันมี) สิ่งนี้มองไม่เห็น (ทว่าถูกปิดบัง)
อย่างกระบวนการตรวจพิจารณาภาพยนตร์ ซึ่งเมื่อถึงที่สุดแล้ว
ทุกอย่างก็ยังมีอันต้องถูกปิดบัง หวงห้ามทั้งขึ้นทั้งล่อง
นั่นคือแม้แต่กรรมการเป็นใครบ้างก็ยังไม่รู้ ผลโหวตด้วยคะแนนเสียง
(ไม่ให้ผ่าน) 18 ต่อ 4 มีใครบ้างก็ไม่เป็นที่เปิดเผย (ขอแค่ ‘4’
ที่ยอมให้หนังผ่านก็ยังบอกไม่ได้)
ตลอดจนการประชุมเป็นการภายในว่าคุยอะไรกันไปบ้างก็ยังถูกเก็บให้เป็นเรื่อง
ลับ (ขนาดทีมงานยังไม่มีสิทธิ์เข้าไปร่วมรับรู้รับฟัง) แม้แต่การซัก
ซึ่งไม่มีส่วนของภาพ โดยให้ฟังได้แค่ ‘เสียง’ บันทึกจากไอโฟนธรรมดา
กลับสร้างประสิทธิภาพในเชิงดราม่าถึงขั้นสูงสุด
(คุณอิ๋งร้องไห้+หนังพาเรื่องราวเข้าสู่ช่วงใกล้จะไคลแม็กซ์)
สิ่งที่คนในวงกว้างไม่นึกว่ามีอยู่
(ทว่าจริง ๆ มันมี) สิ่งที่มองไม่เห็นแต่ถูกปิดบังยังอาจใช้กับตัวหนัง
เชคสเปียร์ต้องตาย ได้เท่า ๆ กัน
ในฐานะที่เป็นก้อนผลงานซึ่งจบลงสมบูรณ์ในตัวเองเสร็จเรียบร้อย
โดยเชื่อว่าเบื้องหลังน่าจะมีจำนวนคนที่ได้ดูเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ
อย่างเงียบ ๆ แม้โดยครรลองการต่อสู้มีแต่จะให้ผลร้ายกับตัวหนังเอง
ตราบใดการดิ้นรนยังคงเดินหน้าไปตามระบบที่วางไว้
(ทีมงานมีการชักเนื้อจ่ายเป็นค่าประทับรับฟ้องด้วยจำนวนตัวเลขที่มากพอ ๆ
กับโทษปรับขั้นสูงสุดกรณีที่มีการเปิดฉายต่อที่สาธารณะ
ตลอดจนความหวั่นเกรงที่คาดว่าจะมีการเรียกคืนทุนสร้าง 3
ล้านบาทจากงบไทยเข้มแข็งจากรัฐบาลชุดก่อนหน้า)
แทบจะกล่าวได้ว่าในทุก ๆ
ขั้นตอนการต่อสู้ร้องเรียนที่เปลี่ยนไป
คนที่เข้ามาเป็นกรรมการสอบมีการเปลี่ยนหน้าไม่ซ้ำกันในแต่ละชุด
ในขณะที่ทีมงานยังต้องตอบข้อซักถามด้วยประเด็นเดิม ๆ
(มิหนำซ้ำตัวรายละเอียดก็ยังสร้างความน่าทึ่งเกินกว่าที่ทุกฝ่ายจะคาดเดา)
จนเหมือนกับว่าทุกอย่างวกกลับมาที่เก่า ไม่ขยับไปไหน
คือสิ่งที่มีให้ดูอยู่แล้วในหนัง ในเวลาเดียวกัน หนัง เซ็นเซอร์ต้องตาย
เองก็ยังอาจสวิงกลับไปหาผลงานก่อนหน้าของอิ๋งกับมานิตได้เช่นกันอย่าง พลเมืองจูหลิง
(โศกนาฏกรรมการสังหารหมู่ที่ตากใบ ประกอบกับการทารุณกรรม
รุมซ้อมในห้องพักที่ผ่านเวลาจริงไปแล้วก่อนหน้า
ที่เหลือเป็นเรื่องของการต่อจิ๊กซอว์เครือข่ายเชื่อมโยงไปยังทฤษฎีสมคบคิดใน
ภาครัฐ) การเปิดโปงข้อมูลเชิงลึกต่อพฤติกรรมคดในข้อ งอในกระดูก
และการปกปิดวาระซ่อนเร้นที่มีต่อผลประโยชน์ระดับท้องถิ่น
ทว่ามีระบบเอื้อไว้ให้ (Green Menace: The Untold Story of Golf และ Thailand for Sales)
แม้แต่ในหนังซึ่งไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับ เชคสเปียร์-เซ็นเซอร์ต้องตาย เลยอย่าง คนกราบหมา (My Teacher Eats Biscuits,
1998) โดยเล่าเรื่องอาศรมเถื่อนที่บังเอิญมีช่างภาพตามเก็บหลักฐาน
รวบรวมข้อมูล แล้วส่งร้องเรียน (สมมติ; กรมการศาสนา) ทว่าพระสงฆ์ ผอ.
ที่มารับเรื่องกลับไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องผิดหรือลบหลู่ศาสนาเสียอย่างนั้น
ใน เซ็นเซอร์ต้องตาย
ทั้งสองคนรวบรวมหลักฐานเพื่อต่อสู้ผ่านหน่วยงาน กรมกองภาครัฐนับไม่ถ้วน
จนกระทั่งเรื่องเข้าสู่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน โดยมี สมชาย แสวงการณ์ เป็น
ผอ.
ส่วนที่เป็นเรื่องบังเอิญเกินความฟลุคคงไม่มีอะไรมากไปกว่าใบหน้าด้วย
อัธยาศัยของ ผอ.สมชาย ซึ่งมีบางส่วนแลดูละม้ายนักแสดงเจ้าของบทพระสงฆ์ ผอ.
(กรมการสมมติ) ของหนัง คนกราบหมา เรื่องนั้นอย่างคุณ กิจจา ตะเวทิพงศ์