Showing posts with label Filmax. Show all posts
Showing posts with label Filmax. Show all posts

เซ็นเซอร์ต้องตาย (Censor Must Die) : ถ้าจริงก็ดีสิ

4.16.2013

0 comments  

http://filmax.in.th/reviews273.html



            ควันหลงจากกรณี เชคสเปียร์ต้องตาย คงไม่มีอะไรมากไปกว่านาฏกรรมทะลุจอ โดยมีสาเหตุมาจากหนังเรื่องเดียวที่สร้างผลกระทบลุกลามไปยังภาคส่วนอื่น ๆ ที่ยาวไกล ทว่าสุดท้ายคือการได้มาซึ่งสารคดีอีกเรื่อง ซึ่งตัวของมันเองก็พร้อมที่จะสร้างแรงกระเพื่อมไปยังทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง อีกระลอกจนได้
            ถ้าถามว่าการมีหนังอย่าง เซ็นเซอร์ต้องตาย (สมานรัชฏ์ กาญจนวณิชย์, มานิต ศรีวาณิชภูมิ) จะเข้าข่ายยั่วยุให้เกิดการแตกแยกระหว่างคนในชาติกับเขาอีกเรื่องด้วยรึ เปล่า ก็คงต้องตอบว่า ‘ใช่’ โดยไม่ต้องสงสัย อย่างน้อย ๆ ก็คือการกระตุ้นเตือนให้ตระหนักรู้ถึงการครอบงำ และการปิดหูปิดตาที่ยังคงมีอยู่ ภายใต้บริบทของการถูกปลูกฝังว่ามันไม่มี ทว่าผ่านการซ่อนรูปให้มีความซับซ้อน และเนียนจนไม่รู้สึกว่ามี
            วัฒนธรรมของการถูกริดรอนสิทธิ์จริง ๆ มีอยู่ทั่วไป เพียงแต่เราจะรู้ถึงกลไกของมันรึเปล่า ซึ่งมิใช่จำกัดอยู่แค่เรื่องของเซ็นเซอร์ (การบังเบลอ และดูดเสียง ซึ่งเราคงชินไปแล้ว) หากแต่ยังครอบคลุมถึงกระบวนการคัดกรองโดยเลือกเปิดเผยบางส่วน และไม่พึงเปิดเผยบางส่วนออกสู่สาธารณะ ที่เกิดขึ้นแน่ ๆ ในระยะหลังก็คือการสงวนและปิดบังชื่อจริง นามสกุลจริง ตลอดจนชื่อของสถานที่ สถานประกอบการ ชื่อสถาบัน ในระดับที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
            พอจะกล่าวได้ว่ายิ่งนานกลไกและกระบวนการ เซ็นเซอร์และคัดกรอง (โดยเฉพาะในส่วนของ fact ที่ไม่ควรเปิดเผย) จะยิ่งเพิ่มความเข้มงวด การใช้นามสมมติ การสแกนโมเสกคือสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไป ควบคู่ไปกับการเสนอ ‘ความเป็นจริง’ ภายใต้พื้นที่ข่าว
            นั่นคือที่ไหนมีข่าว/ข่าวสาร/ข้อเท็จจริง ที่นั่นมักมีการ ‘เซ็นเซอร์’ อยู่เคียงข้างซึ่งกันและกันเสมอ ตราบใดที่ภายใต้กลไกการทำงานของกระบวนการเซ็นเซอร์ยังคงมีเรื่องของกฎหมาย และอำนาจการปรับใช้ คอยรองรับความชอบธรรมอยู่เบื้องหลัง
            จริงอยู่ การมีอยู่ของระบบเซ็นเซอร์อาจมิใช่ตัวน่าขยะแขยง ทว่าโดยเจตนาที่แท้จริงอาจหวังเพียงแค่การจัดระเบียบให้คนทำหน้าที่สื่ออยู่ ภายใต้โอวาท และคงไว้ซึ่งสถานภาพเดิมของความเป็นระเบียบเรียบร้อย (การเชิดชูสิ่งที่มีอยู่แล้วอย่างอุดมการณ์กระแสหลัก คือสิ่งที่ยอมรับได้และพึงได้รับการสนับสนุน ส่วนสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ตลอดจนการนำเสนอที่หมิ่นเหม่ท้าทาย ก็ได้กลายเป็นอะไรที่ชวนให้ตั้งคำถาม เฝ้าระวัง หรือแม้กระทั่งควรถูกสกัดกั้น)
            จริงอยู่ แม้การสกัดกั้นหนังอย่าง Shakespeare Must Die คงมิได้มีสาเหตุอยู่แค่การเป็นครั้งแรกที่มีการดัดแปลงบทละครของ เชคสเปียร์ มา ทำเป็นภาพยนตร์ ทว่าโดยกระแสที่มีมาตั้งแต่ยุคสมัยของตัวบทประพันธ์เอง คือการสร้างการมีส่วนร่วม (ระหว่างคนดูและเรื่องราวบนเวที) ควบคู่ไปกับการวิพากษ์วิจารณ์ที่มีมากกว่าการตำหนิโจมตี ผลลัพธ์ที่ได้คือละครจะไม่จบอยู่แค่ในโรง ทว่ายังเกิดขึ้นต่อเนื่องออกมาถึงข้างนอก ต่อให้เรื่องจบ แต่คนดูไม่ยอมให้จบ เมื่อเอาทุกอย่างมาประกอบกันเข้า สิ่งที่ตามมาก็คือการขับเคลื่อนที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องแบบไม่รู้จบ
            หัวใจสำคัญของการดูละครเชคสเปียร์จึงเป็น เรื่องของการมีอารมณ์ร่วมยังไม่พอ ทว่าหากยังต้องการอะไรบางอย่างมาช่วยกระตุ้นเพื่อสร้างการมีส่วนร่วม หลังจากนั้นทั้งเรื่องราวและสังคมรอบนอกก็จะเกิดการหลอมรวมเป็นเนื้อเดียว กันในที่สุด (ดูเพิ่มเติมได้จาก Anonymous ของ โรแลนด์ เอมเมอริช และการดัดแปลงงานเชคสเปียร์ในรุ่นหลัง ๆ ซึ่งมีแนวโน้มที่มักมุ่งเน้นไปที่การปรับเปลี่ยนยุคสมัยให้ดูใกล้ตัวมากขึ้นอย่าง Coriolanus หรือ Caesar Must Die ไม่เกี่ยวอะไรกัน) ซึ่งในการนี้ต้องขอนับว่าทั้งคุณอิ๋งและคุณมานิตทำ ‘ทุกอย่าง’ ออกมาได้ทั้งเข้าเป้า และเกินความคาดหมายของทุกฝ่ายจริง ๆ
            ไม่ว่าจะอย่างไร เชคสเปียร์ต้องตาย ก็ยังเป็นเพียงผลงานภาพยนตร์ ส่วน เซ็นเซอร์ต้องตาย กลายเป็นนาฏกรรมในรูปของสื่อสารคดีที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ของคนทำงานสื่อ ซึ่งแม้แต่วิลเลี่ยม เชคสเปียร์เองก็ไม่เคยบันทึกปรากฏการณ์ที่พูดถึงงานละครของตัวเอง โดยปรับแต่งให้ออกมาในรูปผลงานใหม่ได้อีกเรื่อง ซึ่งโดยตัวของ product เอง ครั้นจะเรียกให้เป็นภาค 2 ก็คงไม่เต็มปาก ทั้ง ๆ ที่ถูกแล้ว Censor Must Die น่าจะเกิดขึ้นก่อน Shakespeare Must Die เสียด้วยซ้ำ เนื่องจากเป็นสิ่งที่มีมาก่อนตั้งแต่แรกแล้ว แปลว่าต่อให้ใครที่ยังไม่เคยดู เชคสเปียร์ต้องตาย ย่อมมิใช่ปัญหาต่อการเข้าถึง เซ็นเซอร์ต้องตาย แต่อย่างใด ทว่าตราบใดที่ไม่มี เชคสเปียร์ต้องตาย ก็คงไม่มีหนังชื่อ เซ็นเซอร์ต้องตาย เป็นแม่นมั่น
            ในทางกลับกัน เซ็นเซอร์ต้องตาย ก็ยังได้ชื่อว่าเป็นผลงานที่มาจากเชคสเปียร์ แต่ตัวเชคสเปียร์กลับไม่เคยทำ แต่ถึงตัวเจ้าของเรื่องไม่ทำเอง การเล่าถึงผลกระทบซึ่งส่งแรงปะทะย้อนกลับเข้าหาตัวผู้สร้างสรรค์ผลงานกลับมี ให้พบเห็นในวรรณกรรมเรื่องอื่น ๆ อย่าง Don Quixote ของ เอสเตบาน เซอร์วันเตส ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงเกิดขึ้นระหว่างการไต่สวนคดีความ, The Trial ของ ฟรานซ์ คาฟคา ซึ่งเล่าถึงความเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้กับตัวบทกฎหมายที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลง ได้ตลอดเวลา (โดยเฉพาะกับการเล่นกับ ‘ประตู’ อันมีนัยถึง ‘ช่องทาง’ ต่อการเข้าถึงที่หลากหลาย ทว่าตัวละคร เค เปิดผิดหมดตลอดเรื่อง) และคงไม่มีอะไรเท่าทั้ง Macbeth, The Trial, Don Quixote ล้วนแล้วแต่เคยผ่านการดัดแปลงโดยมือคนคนเดียวกัน คือ ออร์สัน เวลส์ เท่า ๆ กับนามแฝงของสมานรัชฏ์ ที่มักใช้คำว่า Ing K. ในหลาย ๆ แห่ง ก็บังเอิญไปพ้องกับบทนำของเรื่อง The Trial อย่าง โจเซฟ เค.
            โดยทั่ว ๆ ไป การจะได้มาซึ่งสารคดีที่สมบูรณ์ บางครั้งตัวคนทำอาจต้องเอาตัวเองเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของข้อเท็จจริง เพื่อที่จะให้เป้าประสงค์หรือข้อเท็จจริงวิ่งเข้ามาชน ซึ่งมีทั้งที่โดยตั้งใจและแบบเป็นไปโดยไม่รู้ตัว (อันนี้ ไมเคิล มัวร์ ถนัด โดยเฉพาะในสารคดีสำคัญ 2 เรื่อง Farenheit 9/11 กับ Roger & Me) ฉะนั้นไม่แปลกถ้าจะเห็นคุณมานิตได้ผันตัวเองขึ้นมารับบทนำ (ในส่วนของภาพ) และมีเสียงของคุณอิ๋งคอยออฟซีนเข้ามามีส่วนร่วมในด้านของเสียง
            ทั้งหมดของ เซ็นเซอร์ต้องตาย และ เชคสเปียร์ต้องตาย คือเรื่องของการเอาตัวเองป้อนเข้าสู่ระบบ โดยหวังจะให้ดูกลืนไปกับคนอื่น หรือหนังเรื่องอื่น ๆ ที่อยู่ในระบบ ณ วันที่ออกสู่ตลาด โดยผ่านกระบวนการตรวจพิจารณา ซึ่งนอกจากจะแวดล้อมไปด้วยหนัง main stream สารพัดเรื่อง กล้องยังมีการจับใบหน้าของคุณมานิตในอิริยาบทที่คู่ขนานไปกับ standy จากหนังเรื่อง Men in Black 3 เป็นภาพ วิล สมิธ ที่บังเอิญสวมแว่นดำตรงกัน
            ลำพังแค่การเล่นกับ Men in Black 3 ก็คงยังไม่เท่ากับการมีผืนผ้าใบโฆษณาหนัง อันธพาล แวบเข้ามาผ่านทางกล้อง (พร้อมด้วยสโลแกน tag-line ที่ว่า ‘แดงกำลังจะกลับมา’ ซึ่งไปไกลเกินขอบเขตตัวหนัง ทว่าไม่ยากถ้าหากจะเชื่อมโยง) ซึ่งเป็นเรื่องของปฏิภาณของคนทำสื่อที่อาศัยสิ่งรอบข้างมาผันเป็นวัตถุดิบ ในขณะที่ทิศทางของหนังเป็นเพียงแค่การปล่อยให้ข้อเท็จจริงค่อย ๆ เผยตัวเองออกมาเรื่อย ๆ เพราะแม้แต่เส้นทางจากตึกที่ทำการของกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งเชื่อมต่อมายังเส้นราชดำเนิน โดยเฉพาะในช่วงเย็นซึ่งทุกคนทราบดี เมื่อถึงคราวที่เส้นทางการจราจรมาหยุดนิ่ง ณ จุดซึ่งเป็นที่ตั้งของพานรัฐธรรมนูญบนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แค่นี้คนดูก็พร้อมแล้วที่จะ ‘อ่าน’ จุดมุ่งหมายของคนทำโดยไม่เห็นเป็นอย่างอื่นกันทั้งโรง
            ขอแค่ 3 ซีนที่เป็นข้อพิสูจน์ถึงคุณภาพของคนดูในโรงด้วยกัน ซึ่งมีจำนวนมากกว่ากรรมการจัดเรตของทุกชุด ทุกบอร์ดรวมกัน ทว่าเต็มไปด้วยความเห็นซึ่งเป็นตรงกันข้ามกับคณะ raters แน่นอน ซึ่งเป็นการเอา intellectual media มาขยายสิ่งที่ตาเห็น ขณะที่การทำหน้าที่ในส่วนของดราม่าอย่างการย้ายฐาน ย้ายเวทีการต่อสู้ที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่เรื่อย ๆ เมื่ออุทธรณ์แล้วก็ยังไม่ผ่าน ซึ่งนำไปสู่การยื่นเสนอต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ทำเนียบรัฐบาล จนในที่สุดก็ส่งฟ้องศาลปกครอง ซึ่งมีแต่ขยับชั้น เลื่อนชั้นที่ทั้งสูงและไกลใหญ่โต ถ้าหากคำนึงว่ามีจุดเริ่มต้นจากการเป็นหนังเรื่องเดียว
            แต่เท่าที่เห็นมาตลอด แท้จริงแล้วเป็นเพียงแค่การต่อสู้เพื่อ เชคสเปียร์ต้องตาย ซึ่งเป็นหนังภาค 1 ล้วน ๆ ขณะที่วันเวลาข้างหน้าของตัวหนัง เซ็นเซอร์ต้องตาย จะเป็นอย่างไร ยังไม่มีใครบอกได้ ในรายของ เชคสเปียร์ต้องตาย การพิจารณาในชั้นศาลมีการกำหนดวันไว้ล่วงหน้าว่าเป็นคดีความในงวดปี 2556 ขณะที่ตัวหนัง เซ็นเซอร์ต้องตาย เองยังคงยืนอยู่บนขาของตัวเองตามลำพัง
            การมีหนังอย่าง เซ็นเซอร์ต้องตาย คงไม่ต่างอะไรกับการยืนยันถึงสิ่งที่สาธารณะไม่เคยนึกว่าจะมีอยู่ (ซึ่งจริง ๆ มันมี) สิ่งนี้มองไม่เห็น (ทว่าถูกปิดบัง) อย่างกระบวนการตรวจพิจารณาภาพยนตร์ ซึ่งเมื่อถึงที่สุดแล้ว ทุกอย่างก็ยังมีอันต้องถูกปิดบัง หวงห้ามทั้งขึ้นทั้งล่อง นั่นคือแม้แต่กรรมการเป็นใครบ้างก็ยังไม่รู้ ผลโหวตด้วยคะแนนเสียง (ไม่ให้ผ่าน) 18 ต่อ 4 มีใครบ้างก็ไม่เป็นที่เปิดเผย (ขอแค่ ‘4’ ที่ยอมให้หนังผ่านก็ยังบอกไม่ได้) ตลอดจนการประชุมเป็นการภายในว่าคุยอะไรกันไปบ้างก็ยังถูกเก็บให้เป็นเรื่อง ลับ (ขนาดทีมงานยังไม่มีสิทธิ์เข้าไปร่วมรับรู้รับฟัง) แม้แต่การซัก ซึ่งไม่มีส่วนของภาพ โดยให้ฟังได้แค่ ‘เสียง’ บันทึกจากไอโฟนธรรมดา กลับสร้างประสิทธิภาพในเชิงดราม่าถึงขั้นสูงสุด (คุณอิ๋งร้องไห้+หนังพาเรื่องราวเข้าสู่ช่วงใกล้จะไคลแม็กซ์)
            สิ่งที่คนในวงกว้างไม่นึกว่ามีอยู่ (ทว่าจริง ๆ มันมี) สิ่งที่มองไม่เห็นแต่ถูกปิดบังยังอาจใช้กับตัวหนัง เชคสเปียร์ต้องตาย ได้เท่า ๆ กัน ในฐานะที่เป็นก้อนผลงานซึ่งจบลงสมบูรณ์ในตัวเองเสร็จเรียบร้อย โดยเชื่อว่าเบื้องหลังน่าจะมีจำนวนคนที่ได้ดูเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ อย่างเงียบ ๆ แม้โดยครรลองการต่อสู้มีแต่จะให้ผลร้ายกับตัวหนังเอง ตราบใดการดิ้นรนยังคงเดินหน้าไปตามระบบที่วางไว้ (ทีมงานมีการชักเนื้อจ่ายเป็นค่าประทับรับฟ้องด้วยจำนวนตัวเลขที่มากพอ ๆ กับโทษปรับขั้นสูงสุดกรณีที่มีการเปิดฉายต่อที่สาธารณะ ตลอดจนความหวั่นเกรงที่คาดว่าจะมีการเรียกคืนทุนสร้าง 3 ล้านบาทจากงบไทยเข้มแข็งจากรัฐบาลชุดก่อนหน้า)
            แทบจะกล่าวได้ว่าในทุก ๆ ขั้นตอนการต่อสู้ร้องเรียนที่เปลี่ยนไป คนที่เข้ามาเป็นกรรมการสอบมีการเปลี่ยนหน้าไม่ซ้ำกันในแต่ละชุด ในขณะที่ทีมงานยังต้องตอบข้อซักถามด้วยประเด็นเดิม ๆ (มิหนำซ้ำตัวรายละเอียดก็ยังสร้างความน่าทึ่งเกินกว่าที่ทุกฝ่ายจะคาดเดา) จนเหมือนกับว่าทุกอย่างวกกลับมาที่เก่า ไม่ขยับไปไหน คือสิ่งที่มีให้ดูอยู่แล้วในหนัง ในเวลาเดียวกัน หนัง เซ็นเซอร์ต้องตาย เองก็ยังอาจสวิงกลับไปหาผลงานก่อนหน้าของอิ๋งกับมานิตได้เช่นกันอย่าง พลเมืองจูหลิง (โศกนาฏกรรมการสังหารหมู่ที่ตากใบ ประกอบกับการทารุณกรรม รุมซ้อมในห้องพักที่ผ่านเวลาจริงไปแล้วก่อนหน้า ที่เหลือเป็นเรื่องของการต่อจิ๊กซอว์เครือข่ายเชื่อมโยงไปยังทฤษฎีสมคบคิดใน ภาครัฐ) การเปิดโปงข้อมูลเชิงลึกต่อพฤติกรรมคดในข้อ งอในกระดูก และการปกปิดวาระซ่อนเร้นที่มีต่อผลประโยชน์ระดับท้องถิ่น ทว่ามีระบบเอื้อไว้ให้ (Green Menace: The Untold Story of Golf และ Thailand for Sales)
            แม้แต่ในหนังซึ่งไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับ เชคสเปียร์-เซ็นเซอร์ต้องตาย เลยอย่าง คนกราบหมา (My Teacher Eats Biscuits, 1998) โดยเล่าเรื่องอาศรมเถื่อนที่บังเอิญมีช่างภาพตามเก็บหลักฐาน รวบรวมข้อมูล แล้วส่งร้องเรียน (สมมติ; กรมการศาสนา) ทว่าพระสงฆ์ ผอ. ที่มารับเรื่องกลับไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องผิดหรือลบหลู่ศาสนาเสียอย่างนั้น
            ใน เซ็นเซอร์ต้องตาย ทั้งสองคนรวบรวมหลักฐานเพื่อต่อสู้ผ่านหน่วยงาน กรมกองภาครัฐนับไม่ถ้วน จนกระทั่งเรื่องเข้าสู่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน โดยมี สมชาย แสวงการณ์ เป็น ผอ. ส่วนที่เป็นเรื่องบังเอิญเกินความฟลุคคงไม่มีอะไรมากไปกว่าใบหน้าด้วย อัธยาศัยของ ผอ.สมชาย ซึ่งมีบางส่วนแลดูละม้ายนักแสดงเจ้าของบทพระสงฆ์ ผอ. (กรมการสมมติ) ของหนัง คนกราบหมา เรื่องนั้นอย่างคุณ กิจจา ตะเวทิพงศ์
มโนธรรม เทียมเทียบรัตน์