รายงานโดย แก้วตา เกษบึงกาฬ
8.11.2017
หลังต่อสู้มานานห้าปี วันนี้ศาลปกครองยกฟ้องคำขอยกเลิกการแบนหนัง 'เชคสเปียร์ต้องตาย' โดยทีมผู้สร้างเตรียมยื่นอุทธรณ์ภายใน 30 วัน
หลังจากที่ผู้กำกับ สมานรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ และผู้อำนวยการสร้าง มานิต ศรีวานิชภูมิ ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองในปี 2555 เพื่อเพิกถอนคำสั่งแบนภาพยนตร์เรื่อง 'เชคสเปียร์ต้องตาย' ซึ่งคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติให้เหตุผลว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ก่อให้เกิดการแตกความสามัคคีระหว่างคนในชาติ ล่าสุดศาลปกครองได้มีคำพิพากษายกฟ้องคดีในช่วงเช้าวันนี้ (11 ส.ค. 2560)
โดยศาลแถลงว่าวินิจฉัยคดีจากการองค์ประกอบโดยรวมของภาพยนตร์ทั้งโครงเรื่อง แก่นเรื่อง บทสนทนา และบทสรุป ซึ่งแม้ว่าผู้สร้างจะยืนยันว่าได้รับแรงบันดาลใจมาจากวรรณกรรมเรื่อง ‘แมคเบธ’ ของเชคสเปียร์ และเรื่องเกิดขึ้นในประเทศสมมติ แต่ผู้พิพากษามองว่าเนื้อหาหลายตอนสะท้อนว่าเป็นสังคมไทย โดยเฉพาะฉากที่สื่อถึงเหตุการณ์ร่วมสมัยอย่าง 6 ตุลา 2519 ซึ่งอาจสร้างความไม่พอใจให้กับญาติและผู้ร่วมเหตุการณ์ดังกล่าว และอาจเป็นชนวนให้เกิดความแตกแยกได้
นอกจากนั้นคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติยังอ้างว่าเคยแจ้งให้ผู้สร้างเปลี่ยนแปลงฉากที่มีประเด็นดังกล่าว แต่ผู้สร้างไม่แก้ไข จึงทำให้ต้องระงับฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยศาลเห็นว่าเป็นการใช้ดุลยพินิจที่ชอบด้วยกฏหมาย และไม่ขัดต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นตามรัฐธรรมนูญ ปี 2550 มาตรา 45
อย่างไรก็ตามผู้สร้างภาพยนตร์สามารถยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดได้ภายใน 30 วัน
หลังสิ้นสุดการอ่านคำพิพากษา ผู้สร้าง 'เชคสเปียร์ต้องตาย' ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากคำตัดสินครั้งนี้ โดยเตรียมยื่นเรื่องอุทธรณ์ต่อไป พร้อมปฏิเสธว่าภาพยนตร์ไม่ได้นำเสนอเหตุการณ์ความรุนแรงของวันที่ 6 ตุลา
“ประเด็นที่เราต่อสู้เนี่ย เรามองแล้วว่ามันจำเป็นต้องต่อสู้ เพราะส่วนหนึ่งผลของการต่อสู้ของเราน่าจะเป็นผลดีต่อวงการภาพยนตร์ในแง่ของสิทธิเสรีภาพในการสร้างภาพยนตร์ของคนไทย ไม่งั้นเราจะลงทุนลงแรงเสียเงินเสียทองที่เราจะสู้ทำไม เรายอมก็ได้ ยอมให้ตัดฉากไหนก็ตัดแล้วก็เข้าโรง ประเด็นคือเราต้องการสังคมไทยที่อยู่ด้วยเหตุและผล ไม่ใช่อยู่กันด้วยความชอบ ไม่ชอบ มีเส้นหรือไม่มีเส้น อยู่ภายในดุลยพินิจที่ไม่เป็นไปตามกระแสของคนส่วนใหญ่” มานิตกล่าว
From https://news.voicetv.co.th/entertainment/514675.html
หลังนักทำหนังไทยต่อสู้เรียกร้องให้ภาครัฐยกเลิกการเซ็นเซอร์และแบนภาพยนตร์ตาม พ.ร.บ. ภาพยนตร์ พ.ศ. 2473 มาเป็นเวลานาน การบังคับใช้ระบบเรตติ้งตาม พ.ร.บ. ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. 2551 ดูจะเป็นความหวังที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้วงการภาพยนตร์ไทยมีอิสระในการแสดงออกมากขึ้น แต่แล้วผลกลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อมีภาพยนตร์ถูกระงับฉายถึง 3 เรื่องภายในระยะเวลา 9 ปี คือ 'Insects in the Backyard' ‘เชคสเปียร์ต้องตาย’ และ ‘อาบัติ’
หลังต่อสู้ในชั้นศาลมากว่า 5 ปีนับจากที่โดนสั่งแบนเมื่อปี 2553 ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ เตรียมฉาย 'Insects in the Backyard' แบบจำกัดโรงในวันที่ 29 พฤศจิกายนนี้ โดยตัดฉากที่มีปัญหา 3 วินาทีตามที่ศาลกำหนด
สำหรับชะตากรรมของ ‘เชคสเปียร์ต้องตาย’ ภาพยนตร์ไทยเรื่องที่สองซึ่งถูกแบนภายใต้ระบบเรตติ้งเมื่อปี 2555 นั้น จะทราบคำตัดสินของศาลปกครองในวันที่ 11 สิงหาคมนี้ ว่าจะมีโอกาสได้ฉายที่ไทยหรือไม่
Voice TV ได้พูดคุยกับผู้กำกับ สมานรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ หรือ ‘อิ๋ง เค’ และผู้อำนวยการสร้าง มานิต ศรีวานิชภูมิ เพื่อทบทวนเส้นทางการต่อสู้กับระบบเซ็นเซอร์ของทั้งคู่

ที่มาของ ‘เชคสเปียร์ต้องตาย’
“‘เชคสเปียร์ต้องตาย’ เรียกได้ว่า 97% ของบทภาพยนตร์และภาพยนตร์ทั้งอัน ตรงตัวมาจากโศกนาฎกรรมแมคเบธของวิลเลียม เชคสเปียร์ ซึ่งเป็นบทละครที่ปรากฎอยู่ในหลักสูตรวรรณคดีของเด็กในประเทศที่พูดภาษาอังกฤษมาเป็นร้อย ๆ ปี คือดิฉันเคยเรียนที่อังกฤษ ตอนอายุ 15 ก็ได้เรียนเรื่องนี้ แล้วก็ประทับใจมาก ยังคิดเลยว่าวันนึงต้องทำอะไรกับละครอันนี้ มันมีทั้งแม่มด มันสนุกที่สุดของเชคสเปียร์ทั้งหมด มันสั้นด้วยและภาพมันแรงทุกคนยอมรับว่าคือแมคเบธของเชคสเปียร์นี่เป็นปู่ทวดของหนังผี เพราะมันผีครบรส มีผีมางานเลี้ยง มีแม่มด ฆาตกรรม เลือดสาด”
สมานรัชฎ์กล่าวถึงแรงบันดาลใจของเรื่อง พร้อมเน้นว่าเธอต้องการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ให้คนไทยดู จึงดัดแปลงเรื่องราวภายใต้บริบทไทย โดยใช้โครงสร้างละครซ้อนละครเพื่อประหยัดทุนสร้างที่มีอยู่สามล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเงินสนับสนุนจากกองทุนไทยเข้มแข็ง กระทรวงวัฒนธรรม
5 ปีที่ต่อสู้กับระบบเซ็นเซอร์
“เซ็นเซอร์นี่เป็นเหมือนเผด็จการเลย เป็นอำนาจเผด็จการสุดท้ายมั้งที่เหลืออยู่ เพราะเขาสามารถชี้เป็นชี้ตายกับผลงานที่คนเป็นสิบๆ เป็นร้อยช่วยกันสร้างขึ้นมา” สมานรัชฎ์กล่าว “ไม่ใช่ว่าไม่มีใครอยากสู้นะคนทำหนังคนอื่น เรารู้ว่าเขาก็อยากสู้ แต่ทุกคนก็รู้ว่าถ้าสู้กับกองเซ็นเซอร์ซึ่งเขากำชะตาเราเหมือนลูกไก่ในกำมือ นักทำหนังทุกคนเป็นแค่ลูกไก่ไร้ศักดิ์ศรี”
“ในฐานะของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานของฝ่ายราชการก็รู้สึกถึงความไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา” มานิตกล่าว
“เมื่อตัวภาพยนตร์ถูกแบน ถูกห้าม เท่ากับว่าเราไม่มีสิทธิ์ที่จะได้ใช้ความเป็นภาพยนตร์ ความเป็นศิลปะสื่อสารกับผู้ชมของเรา อันนี้ผมคิดว่าเป็นประเด็นสำคัญ ไม่งั้นเราไม่ทำภาพยนตร์ครับ แต่เพราะเราเชื่อในพลังภาพยนตร์ ศิลปะภาพยนตร์ ที่จะสื่อสารกับผู้ชมอย่างทรงพลังที่สุด เราก็สูญเสียโอกาสนั้นไป … เราขาดความมั่นใจที่จะทำภาพยนตร์ที่มีคุณภาพ เพราะภาครัฐควบคุมและใช้วิธีการตรวจพิจารณาอย่างไม่มีมาตรฐาน หรือจะเรียกว่าสองมาตรฐานก็แล้วแต่ นอกจากนั้นคนที่รู้ว่าเราทำหนังแล้วถูกแบน ใครเขาจะอยากมาทำงานกับเราครับ”
ระหว่างการต่อสู้กับกองเซ็นเซอร์ สมานรัชฎ์ได้บันทึกภาพและเสียงไว้อย่างครบถ้วน ก่อนจะนำมาตัดต่อเป็นภาพยนตร์สารคดีเรื่อง ‘เซ็นเซอร์ต้องตาย’ และแม้ว่าคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์จะอนุมัติให้ฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ได้โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการพิจารณา เพราะเป็นสารคดีที่บันทึกเหตุการณ์จริง แต่สุดท้ายกลับไม่มีโรงภาพยนตร์ใดนำภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉาย ซึ่งมานิตคาดว่าผู้ประกอบการไม่กล้าและเกรงใจภาครัฐ
โดยก่อนหน้านี้ภาพยนตร์ตลกร้ายเรื่อง ‘คนกราบหมา’ ของสมานรัตน์ ได้ถูกกองเซ็นเซอร์ภาพยนตร์สั่งห้ามฉายในปี 2540 มีเพียงภาพยนตร์สารคดีชายแดนใต้เรื่อง ‘พลเมืองจูหลิง (2551)’ เท่านั้นที่ได้ออกฉายในโรงภาพยนตร์
“ถ้าผู้บังคับใช้มีดุลยพินิจที่เปิดกว้างก็จะไม่เกิดปัญหา เพราะดุลยพินิจไม่ใช่เหรอครับที่ทำให้เกิด 2 มาตรฐาน ถ้าเขาพิจารณาตามตัวอักษร ผมว่ามีภาพยนตร์หลายเรื่องที่จะเป็นปัญหาเยอะแยะ แต่ทำไมผ่านไปได้ ยกตัวอย่างเช่น ภาพยนตร์ของเราที่ถูกแบนด้วยเหตุผลของกรณี 6 ตุลา โดยบอกว่าเราสร้างจากเหตุการณ์จริง เราไม่ได้ทำหนังเกี่ยวกับ 6 ตุลาเลยนะ ต้องเข้าใจก่อน แต่เรามีหนึ่งฉากที่ได้แรงบันดาลใจจากเหตุการณ์ความรุนแรงของวันที่ 6 ตุลา ภาพยนตร์เรื่องอื่นเช่นล่าสุด ดาวคะนอง ที่ใช้ ค รุนแรง 6 ตุลามาดำเนินเรื่อง … ผมถามว่าทำไมฉากนั้นคุณโอเค ทำไมคุณไม่ใช้เหตุผลนั้นในกรณีผม” มานิตกล่าว
“จริงๆ มันเป็นเรื่องอื่น ทุกคนก็รู้ แล้วก็ไม่ได้รับประกันด้วยว่าตัดตรงนั้นตรงนี้แล้วจะผ่าน เขาไม่ได้พูดยังงั้นเลย เราโดนแกล้งทุกทาง คุณลองไปอ่านลำดับเหตุการณ์ที่เราขึ้นไว้ในเว็บไซต์ (ถอนหายใจ) มันนรกจริงๆ การเดินทางครั้งนี้” สมานรัชฎ์กล่าว

การเดินทางของระบบเซ็นเซอร์
“สิทธิเสรีภาพของคนทำภาพยนตร์ไทยถูกกระทบอย่างรุนแรง คุณจะสังเกตได้ว่าช่วง 10 ปีที่ผ่านมา หนังไทยแทบไม่โตเลยด้านเนื้อหาสาระ ทางเศรษฐกิจก็ไม่ต้องพูดถึงนะครับ ตัวเลขต่ำเตี้ยมาก เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เราเห็นเลยว่าเป็นผลกระทบที่เกิดจากภาครัฐ สิ่งที่โตอาจมีอยู่อย่างเดียวครับ คือเราเป็นแค่โรงงานผลิต เราให้บริการในการผลิตภาพยนตร์ต่างประเทศที่เข้ามาในถ่ายทำในไทยเท่านั้นเองที่ยังมีตัวเลขที่โตอยู่ แต่ในส่วนของภาคอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยเองแทบจะไม่โตเลยอย่างที่เราทราบกัน อันนี้ก็เกิดจากการควบคุมของระบบการเซ็นเซอร์ของไทย เราไม่ต้องไปพูดถึงสภาพโรงภาพยนตร์ที่มีผู้คุมผูกขาดอยู่ 2 เจ้าใหญ่ แล้วอุตสาหกรรมหนังไทย คนทำภาพยนตร์ไทยจะไปไหน ผมว่าก็ยังมองไม่เห็นทิศทางว่าจะไปยังไง ซ้ำร้ายเรื่องการเซ็นเซอร์การแบนก็ยังไม่เห็นอนาคต วันศุกร์นี้ก็จะเป็นตัวชี้ขาดเหมือนกันว่าอนาคตของภาพยนตร์ไทยจะไปอย่างไรกับการควบคุมในลักษณะนี้” มานิตกล่าว
“ในขณะที่ 5 ปีที่เรารอคอยความยุติธรรมอยู่ ก็มีการใช้เซ็นเซอร์เป็นประโยชน์ทางธุรกิจของตัวเอง … นี่เป็นสิ่งที่ผมมองว่าเป็นปัญหา กลายเป็นว่าภาพยนตร์ที่ถูกแบนอย่างแท้จริงกลับกลายเป็นภาพยนตร์ที่ตั้งใจอย่างมากที่จะไม่อาศัยการฉวยโอกาสเหล่านี้เพื่อการโปรโมตหนังของตัวเอง แต่บริษัทที่ผู้สร้างภาพยนตร์ที่รู้ช่องทางของการใช้เซ็นเซอร์ให้เป็นประโยชน์กับการพีอาร์ภาพยนตร์ของตัวเอง ผมเห็นว่าไม่เป็นธรรมกับคนทำหนังอย่างเรา”
คาดหวังกับผลตัดสินในวันศุกร์นี้หรือไม่
“ถ้าเป็นข่าวดีมันก็ปาฎิหาริย์ มันไม่ใช่ข่าวดีของดิฉันคนเดียว … ถ้ามีปาฎิหาริย์ มันก็ช่วยมากในการแก้กฎหมาย ทั้งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและคณะกรรมการวุฒิสภาที่เราไปร้องเรียน ทั้ง 2 ฝ่ายก็บอกว่า พ.ร.บ. นี้ต้องแก้ไข สมมติดิฉันหมิ่นประมาทใครในหนัง คุณก็มีกฎหมายหมิ่นประมาท มันมีกฎหมายอาชญากรรมที่จัดการได้หมดทุกอย่างแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องมาแบน” สมานรัตน์ กล่าว
From https://news.voicetv.co.th/entertainment/514567.html
6.06.2012
โดยชี้แจงเหตุผลว่า บางฉากยังมีเนื้อหาที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน โดยเฉพาะการนำเสนอฉากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม ๒๕๑๙ อาจกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของรัฐ ซึ่งประเด็นหลังนี้ทำให้ทีมผู้สร้างไม่พอใจเป็นอย่างมาก และรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม เนื่องจากทืมผู้สร้างไม่เคยพูดว่าฉากดังกล่าวเป็นการนำเสนอเหตุการณ์ 6 ตุลา ซึ่งถือเป็นการบิดเบือนข้อมูลอย่างมาก
และในวันพรุ่งนี้เวลา 13.00 น. ผู้สร้างภาพยนตร์ "เชคสเปียร์ต้องตาย" หรือ "Shakespeare Must Die" จะเดินทางไปยื่นหนังสือร้องเรียนต่อ "นายสมชาย แสวงการ" ประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค ที่วุฒิสภาอีกด้วย
Produced by VoiceTV
5.28.2012
http://news.voicetv.co.th/global/35783.html
ข่าวการห้ามฉายภาพยนต์"เชคสเปียร์ต้องตาย" ของทางการไทย ถูกสื่อมวลชนอังกฤษหลายสำนักจับตามอง ในฐานะภาพสะท้อนถึงการขาดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น โดยเฉพาะในประเด็นเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมืองและการพาดพิงถึงสถาบันพระ มหากษัตริย์
การสั่งห้ามฉายภาพยนต์ "เชคสเปียร์ต้องตาย" ของคณะกรรมการพิจารณาภาพยนต์และวีดิทัศน์ของไทย ไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นที่สนใจของสื่อมวลชนนานาชาติอีกด้วย โดยเฉพาะในอังกฤษ ซึ่งให้ความสำคัญกับสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเป็นพิเศษ รวมทั้งยังเป็นต้นกำเนิดของ "แมคเบธ" บทประพันธ์ชื่อดังของเชคสเปียร์ ที่ถูกนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนต์เรื่องนี้อีกด้วย
สำนักข่าวบีบีซีวิเคราะห์ว่า การห้ามฉายภาพยนต์เรื่องดังกล่าวอาจเกิดจากการที่เนื้อหาของภาพยนต์เกี่ยว พันกับการแก่งแย่งอำนาจและการโค่นล้มทางการเมือง รวมถึงการที่ภาพความรุนแรงและการประท้วงโดยกลุ่มคนเสื้อแดงผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกนำมาใช้ในหลายฉากของภาพยนต์ อีกทั้งยังมีการใช้สีแดงเป็นสัญลักษณ์แทนฆาตรกรและตัวร้ายในภาพยนต์อีกด้วย
นอกจากนี้ ทางบีบีซียังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ภาพยนต์เชคสเปียร์ต้องตาย ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งเป็นปฏิปักษ์กับพตท.ทักษิณ แต่กลับถูกห้ามฉายในรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ในขณะที่หนังสือพิมพ์เดอะ การ์เดียน วิจารณ์ว่าเนื้อหาของภาพยนต์ที่เกี่ยวกับความพยายามในการโค่นล้มสถาบัน กษัตริย์ ซึ่งดัดแปลงมาจากบทประพันธ์แมคเบธ ทำให้ภาพยนต์เรื่องดังกล่าวถูกมองว่านำเสนอในประเด็นที่อ่อนไหวต่อการสร้าง ความขัดแย้งภายในประเทศ รวมถึงตีพิมพ์คำสัมภาษณ์ของสมานรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ ผู้กำกับภาพยนต์ ที่ยืนยันว่า คณะกรรมการห้ามฉายเชคสเปียร์ต้องตาย เนื่องจากเห็นว่าภาพยนต์เรื่องนี้สื่อถึงแนวคิดต้านสถาบันกษัตริย์อย่างเด่น ชัด รวมถึงมีฉากที่เลียนแบบภาพการแขวนคอนักศึกษาในการประท้วงเมื่อเดือนตุลาคม ปี 2519
ทั้งนี้ เดอะ การ์เดียน ยังกล่าวอีกว่า การสั่งห้ามฉายภาพยนต์เชคสเปียร์ต้องตาย สะท้อนให้เห็นถึงการควบคุมการแสดงความคิดเห็นถึงประเด็นอ่อนไหวทางการเมือง โดยเฉพาะกรณีที่มีการพาดพิงถึงสถาบันกษัตริย์ ซึ่งเข้มงวดขึ้นอย่างมากหลังจากการรัฐประหารเมื่อปี 2549 ก่อให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองและการตั้งคำถามต่อบทบาทของสถาบันหลักใน ประเทศ
Produced by VoiceTV
4.19.2012
Voice TV
รายการข่าว News Update ประจำวันที่ 17 เมษายน 2555 เวลา 16.00 น.
-ทีมงาน"เชคสเปียร์ต้องตาย" ยื่นหนังสืออุทธรณ์ต่อนายกรัฐมนตรี
นาทีที่ 6
รายการข่าว News Update ประจำวันที่ 17 เมษายน... by VoiceTV
4.17.2012
Voice TV
http://news.voicetv.co.th/thailand/36623.html
นายมานิต ศรีวานิชภูมิ และ นางสาวสมานรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ ผู้อำนวยการสร้างและผู้กำกับภาพยนตร์ "เชคสเปียร์ต้องตาย" หรือ "Shakespeare Must Die" พร้อมด้วยทีมนักแสดงนำ เข้ายื่นหนังหนังสืออุทธรณ์ต่อ นาวสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล ในฐานะผู้เป็นประธานคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ให้ยกเลิกมติห้ามเผยแพร่ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว และอนุญาตให้ "เชคสเปียรส์ต้องตาย" มีสิทธิ์เผยแพร่และจัดจำหน่ายในราชอาณาจักรเช่นเดียวกับภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ
ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ นายสาทิตย์ สุทธิเสริม รองผู้อำนวยการฝ่ายประสานมวลชน ศูนย์บริการประชาชน สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับเรื่องอุทธรณ์
นายมานิต กล่าวว่า เมื่อวันที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ คณะที่ 3 มีมติห้ามเผยแพร่ภาพยนตร์ โดยอ้างเหตุผลว่า มีเนื้อหาที่ก่อให้เกิดการแตกความสามัคคีระหว่างคนในชาติ ตามกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของประเภทภาพยนตร์ พ.ศ. 2552 ซึ่งเหตุผลดังกล่าวทางทีมงานรู้สึกว่าไม่เป็นธรรม และรุนแรงเกินไป
นายมานิต กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า การเรียกร้องความเป็นธรรมครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงทำเพื่อภาพยนตร์ "เชคสเปียร์ต้องตาย" เท่านั้น แต่เป็นการต่อสู้และเรียกร้องสิทธิให้กับวงการภาพยนตร์ไทย และหวังว่าในอนาคตจะไม่มีภาพยนตร์ถูกแบนเช่นนี้อีก
Produced by voiceTV
Voice TV
http://news.voicetv.co.th/entertainment/36551.html
ภาพยนตร์เชคสเปียร์ต้องตาย ถูกห้ามไม่ให้เผยแพร่ในราชอาณาจักรไทย โดยอ้างว่ามีเนื้อหาก่อให้เกิดการแตกสามัคคี ซึ่งในวันพรุ่งนี้ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวจะไปยื่นอุทธรณ์ เพื่อขอให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เผยแพร่ เพราะเป็นการแสดงให้เห็นถึงเสรีภาพในการแสดงออกทางความคิด
Voice TV
http://news.voicetv.co.th/thailand/35913.html
ทีมผู้สร้างภาพยนตร์เรื่อง เชคสเปียร์ต้องตาย ออกจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี ให้ทบทวนมติการห้ามฉายภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว และให้กำหนดเป็นมาตรฐานว่าควรใช้การจัดเรทติ้งแทนการห้ามฉายภาพยนตร์ ซึ่งเป็นคำสั่งที่กระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน
เว็บไซต์ทางการของภาพยนตร์เรื่องเชคสเปียร์ต้องตาย เผยแพร่จดหมายเปิดผนึก ถึงนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ประธานคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ นางสุกุมล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และรองประธานกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ โดยใช้ชื่อจดหมายว่า " หยุดแบนภาพยนตร์ไทย หยุดปิดกั้นเสรีภาพ ไม่เป็นประชาธิปไตย "
โดยระบุว่า มติของคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ คณะที่ 3 ที่ห้ามเผยแพร่ภาพยนตร์เรื่องนี้ในราชอาณาจักร โดยให้เหตุผลว่า “มีเนื้อหาที่ก่อให้เกิดการแตกสามัคคีระหว่างคนในชาติ ” นั้น
ทีมผู้สร้างภาพยนตร์ นักวิชาการ นักแสดง ผู้ประกอบวิชาชีพด้านภาพยนตร์ กลุ่มคนรักหนัง ตลอดจนประชาชนผู้รักเสรีภาพ เห็นว่ามติดังกล่าวคลุมเครือ ครอบจักรวาล ไร้เหตุผลสนับสนุน ถือเป็นมาตรการที่รุนแรง ขาดความพอดี และกระทบต่อ “สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ” ทั้งของผู้สร้างภาพยนตร์และผู้ชม
ทั้งนี้เจตนารมณ์ของ พระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. 2551 เป็นพระราชบัญญัติที่ให้ความสำคัญกับระบบการจัดประเภทของ ภาพยนตร์ เพื่อเป็นหลักประกันในสิทธิและเสรีภาพของประชาชน แทนกฎหมายฉบับเดิม ที่ใช้วิธีแบบเผด็จการคือ ห้ามฉาย
จึงขอให้นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ทบทวนมติดังกล่าว และให้มีคำสั่งว่า ห้ามแบนภาพยนตร์ไทยในอนาคตอีก โดยให้ยึดถือการจัดประเภทภาพยนตร์เป็นหลัก ปฏิบัติแทน เพื่อไม่ให้กระทบต่อสิทธิและเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย
ทั้งนี้ ภาพยนตร์เรื่อง ‘เชคสเปียร์ต้องตาย’ เป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องที่สอง ที่ถูกคำสั่งห้ามฉาย ภายใต้พระราชบัญญัติฉบับปัจจุบัน โดยภาพยนตร์เรื่องแรกคือ Insects in the Backyard ของ ธัญญ์วาริน สุขพิสิษฐ์ ใน ปี 2553
ส่วนเนื้อหาของภาพยนตร์เรื่องนี้ ในเว็บไซต์ดังกล่าว ระบุว่า เป็นภาพยนตร์ขนาดยาว ที่อิงจากบทประพันธ์ของวิลเลียม เชคสเปียร์ โดยถอดความหมาย "คำต่อคำ" เพื่อคงความสวยงามของภาษากวี ผ่านการใช้ภาษาไทย นับเป็นภาพยนตร์เชคสเปียร์ไทยเรื่องแรก และกำกับการแสดงโดยนางสาวสมานรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ และมีนายมานิต ศรีวานิชภูมิ เป็นผู้อำนวยการสร้าง โดยวันที่ 17 เมษายนนี้ ทีมผู้สร้างภาพยนตร์ จะยื่นอุทธรณ์คำสั่งห้ามฉาย
Produced by VoiceTV
4.08.2012
ทีมผู้สร้างภาพยนตร์เรื่อง เชคสเปียร์ต้องตาย ออกจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี ให้ทบทวนมติการห้ามฉายภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว และให้กำหนดเป็นมาตรฐานว่าควรใช้การจัดเรทติ้งแทนการห้ามฉายภาพยนตร์ ซึ่งเป็นคำสั่งที่กระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน
เว็บไซต์ทางการของภาพยนตร์เรื่องเชคสเปียร์ต้องตาย เผยแพร่จดหมายเปิดผนึก ถึงนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ประธานคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ นางสุกุมล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และรองประธานกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ โดยใช้ชื่อจดหมายว่า " หยุดแบนภาพยนตร์ไทย หยุดปิดกั้นเสรีภาพ ไม่เป็นประชาธิปไตย "
โดยระบุว่า มติของคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ คณะที่ 3 ที่ห้ามเผยแพร่ภาพยนตร์เรื่องนี้ในราชอาณาจักร โดยให้เหตุผลว่า “มีเนื้อหาที่ก่อให้เกิดการแตกสามัคคีระหว่างคนในชาติ ” นั้น
ทีมผู้สร้างภาพยนตร์ นักวิชาการ นักแสดง ผู้ประกอบวิชาชีพด้านภาพยนตร์ กลุ่มคนรักหนัง ตลอดจนประชาชนผู้รักเสรีภาพ เห็นว่ามติดังกล่าวคลุมเครือ ครอบจักรวาล ไร้เหตุผลสนับสนุน ถือเป็นมาตรการที่รุนแรง ขาดความพอดี และกระทบต่อ “สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ” ทั้งของผู้สร้างภาพยนตร์และผู้ชม
ทั้งนี้เจตนารมณ์ของ พระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. 2551 เป็นพระราชบัญญัติที่ให้ความสำคัญกับระบบการจัดประเภทของ ภาพยนตร์ เพื่อเป็นหลักประกันในสิทธิและเสรีภาพของประชาชน แทนกฎหมายฉบับเดิม ที่ใช้วิธีแบบเผด็จการคือ ห้ามฉาย
จึงขอให้นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ทบทวนมติดังกล่าว และให้มีคำสั่งว่า ห้ามแบนภาพยนตร์ไทยในอนาคตอีก โดยให้ยึดถือการจัดประเภทภาพยนตร์เป็นหลัก ปฏิบัติแทน เพื่อไม่ให้กระทบต่อสิทธิและเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย
ทั้งนี้ ภาพยนตร์เรื่อง ‘เชคสเปียร์ต้องตาย’ เป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องที่สอง ที่ถูกคำสั่งห้ามฉาย ภายใต้พระราชบัญญัติฉบับปัจจุบัน โดยภาพยนตร์เรื่องแรกคือ Insects in the Backyard ของ ธัญญ์วาริน สุขพิสิษฐ์ ใน ปี 2553
ส่วนเนื้อหาของภาพยนตร์เรื่องนี้ ในเว็บไซต์ดังกล่าว ระบุว่า เป็นภาพยนตร์ขนาดยาว ที่อิงจากบทประพันธ์ของวิลเลียม เชคสเปียร์ โดยถอดความหมาย "คำต่อคำ" เพื่อคงความสวยงามของภาษากวี ผ่านการใช้ภาษาไทย นับเป็นภาพยนตร์เชคสเปียร์ไทยเรื่องแรก และกำกับการแสดงโดยนางสาวสมานรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ และมีนายมานิต ศรีวานิชภูมิ เป็นผู้อำนวยการสร้าง โดยวันที่ 17 เมษายนนี้ ทีมผู้สร้างภาพยนตร์ จะยื่นอุทธรณ์คำสั่งห้ามฉาย
http://news.voicetv.co.th/thailand/35913.html
การกำหนดเรท ห หรือการสั่งห้ามฉายภาพยนตร์ในประเทศไทย มีภาพยนตร์ที่ถูกสั่งแบนมาแล้ว 2 เรื่องด้วยกัน ล่าสุดกับภาพยนตร์เรื่อง เช็คสเปียร์ต้องตาย ทั้งที่เป็นการสร้างด้วยงบประมาณจากโครงการไทยเข้มแข็งในสมัยรัฐบาลที่ผ่าน มา แต่เมื่อถูกมองว่ากระทบความมั่นคง จึงต้องถูกแบนไปในที่สุด ทั้ง 2 เรื่องที่ถูกสั่งห้ามฉาย
กระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโลกไซเบอร์ ที่พูดถึงกรณีการให้เรท ห หรือ ห้ามฉาย กับภาพยนตร์เรื่อง เช็คสเปียร์ต้องตาย กลายเป็นการสะท้อนเรื่องราวของการปิดหูปิดตาประชาชน ซึ่งเป็นการใช้อำนาจโดยกลุ่มคนบางกลุ่ม นั่นคือ คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์ โดยอาศัยอำนาจตามกฎหมาย ลงมติเลือกว่าอะไรที่ประชาชนควรดูหรือไม่ควรดู
แม้ประเทศไทยจะเป็นประเทศประชาธิปไตย แต่กรณีดังกล่าวเห็นได้ว่า แม้แต่กระทั่งการจะดูภาพยนตร์ กลับต้องถูกตัดสินว่า เรื่องไหนดูได้ เรื่องไหนดูไม่ได้ ทั้งที่มีการกำหนดการจัดประเภทภาพยนตร์ แบ่งตามเรทเอาไว้แล้ว
อย่างไรก็ตาม ภาพยนตร์เรื่อง เช็คสเปียร์ต้องตาย ไม่ใช่ภาพยนตร์เรื่องแรกที่ถูกคำสั่งห้ามฉายในเมืองไทย เพราะหลังจากพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ.2551 บังคับใช้ พบว่า ภาพยนตร์เรื่องแรกที่ถูกสั่งห้ามฉาย คือ เรื่อง อินเสค อิน เดอะ แบล็คยาร์ด ภาพยนตร์เรื่องยาวเรื่องแรกของ ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ ผู้กำกับหน้าใหม่ และเป็นตัวแสดงนำในเรื่องด้วย
เนื้อหาของ "Insects In the Backyard" บอกเล่าชีวิต 2 พี่น้อง "เจนนี่" และ "จอห์นนี่" ที่กำพร้าแม่ เติบโตขึ้นมาด้วยการดูแลของพ่อซึ่งเป็นเพศที่สาม สภาพแวดล้อมเลยสร้างบรรยากาศประหลาดให้กับคนทั้งสอง จนภายหลังทั้งคู่ตัดสินใจหนีออกจากบ้านไป
ครั้งนั้น มีเหตุผลจากกรรมการท่านหนึ่งที่ลงมติสั่งห้ามฉาย ระบุว่า ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน แม้เนื้อหาของเรื่องจะพยายามสะท้อนสภาพสังคม แต่สิ่งที่นำเสนอมีความรุนแรงมาก ทั้งภาพ และภาษา อีกทั้งยังมีฉากที่แสดงให้เห็นว่า ลูกอยากจะฆ่าพ่อของตัวเอง มีการใช้มีดแทงจนเลือดท่วม ซึ่งเป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่ง
ส่วนภาพยนตร์เรื่อง เช็คสเปียร์ต้องตาย เป็นผลงานการกำกับของ “สมานรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์” หรือ อิ๋ง เค เจ้าของรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม รางวัล คมชัดลึก อวอร์ด ครั้งที่ 7 ประจำปี 2552 จากสารคดีเรื่องยาว “พลเมืองจูหลิง”
ทั้งนี้ ตามเอกสารบันทึกการตรวจพิจารณาภาพยนตร์ได้ระบุถึงเหตุผลของการแบนภาพยนตร์ เรื่องนี้ว่า “คณะกรรมการพิจารณาเห็นว่า ภาพยนตร์เรื่องเชคสเปียร์ต้องตาย มีเนื้อหาที่ก่อให้เกิดการแตกความสามัคคีระหว่างคนในชาติ ตามกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของประเภทภาพยนตร์ และวีดิทัศน์ พ.ศ.2552 ข้อ 7(3) จึงมีมติไม่อนุญาต โดยจัดเป็นประเภทภาพยนตร์ที่ห้ามเผยแพร่ในราชอาณาจักร ตามมาตรา 26 (7) แห่งพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวิดีทัศน์ พ.ศ.2551”
สำหรับเรื่องย่อของภาพยนตร์เช็คสเปียร์ต้องตาย สร้างขึ้นจากบทละคร “โศกนาฏกรรมแม็คเบ็ธ” ของ วิลเลียม เชคสเปียร์ กวีเอกของโลก เนื้อเรื่องว่าด้วย เรื่องราวของขุนพลที่มักใหญ่ใฝ่สูงอย่างไร้ขอบเขต และคลั่งไคล้ในไสยศาสตร์ ที่ถูกแม่มดทักว่าจะได้เป็นกษัตริย์ในภายหน้า และโดยการยุยงของภรรยา เขาจึงสังหารพระราชาเพื่อสถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์ แล้วขึ้นปกครองแผ่นดินด้วยความบ้าอำนาจ จนทำให้บ้านเมืองตกอยู่ในยุคมืดมนแห่งความหวาดกลัว ขณะที่ตัวของเขาเองก็หาได้มีความสุขแต่อย่างใดเพราะต้องใช้ความรุนแรงเพื่อ รักษาอำนาจของตนไว้นั่นเอง
อย่างไรก็ดี การแสดงออกในท่าทีที่สวนทางกับการเป็นประเทศประชาธิปไตย ที่มีความคิดเสรี บนพื้นฐานที่ทุกคนอยู่บนความเท่าเทียมกัน แต่เพียงแค่เรื่องง่ายๆ กับต้องถูกตีกรอบว่า หากดูภาพยนตร์เรื่องนั้นเรื่องนี้แล้วจะเป็นภัยต่อความมั่นคง ยังคงเป็นเรื่องต้องห้ามอยู่ ทั้งที่การชมภาพยนตร์เป็นแค่เพียงเรื่องของการเสพงานศิลป์แขนงหนึ่งเท่านั้น
แต่ขณะเดียวกัน การขายปืนเถื่อน การลักลอบซื้อขายยาเสพติด หรือการซื้อขายวัตถุประกอบระเบิด ปรากฎว่าสามารถทำได้ง่าย และดูคล้ายว่าเป็นไปอย่างเสรี ดูเหมือนว่าแนวคิดประชาธิปไตยในเมืองไทย อะไรที่ผิด หรือเรื่องใต้ดิน มักจะเสรีได้อย่างปลอดภัย แต่พอจะวิพากษ์วิจารณ์ในความจริง กลับถูกมองว่า เป็นเรื่องผิดกฎหมาย ผิดหลักการ หรือว่าเรา จะต้องอยู่ด้วยกัน แบบลักลอบแบบนี้ต่อไปถึงจะดี
http://news.voicetv.co.th/thailand/35927.html
รายการข่าว World Update ประจำวันที่ 5 เมษายน 2555
สื่ออังกฤษจับตาไทยแบน"เชคสเปียร์ต้องตาย"
ข่าวการห้ามฉายภาพยนต์ "เชคสเปียร์ต้องตาย" ของทางการไทย ถูกสื่อมวลชนอังกฤษหลายสำนักจับตามอง ในฐานะภาพสะท้อนถึงการขาดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น