Showing posts with label มติชน. Show all posts
Showing posts with label มติชน. Show all posts

แบน "เชคสเปียร์ต้องตาย" ต่อ ศาลชี้มีฉากคล้าย "เหตุเดือนตุลาฯ" สร้างความชิงชังคนในชาติ ผู้ฟ้องจ่ออุทธรณ์

8.11.2017

0 comments  




From  https://www.matichon.co.th/news/625411

ส่งหนัง"เซ็นเซอร์ต้องตาย"ตรวจ พร้อมรับสภาพผล

1.05.2013

0 comments  

 


ถัดจาก′เชคสเปียร์′ มานิต ศรีวานิชภูมิ ทำ′เซ็นเซอร์ต้องตาย′ เตรียมส่งให้เซ็นเซอร์ดู

มานิต ศรีวานิชภูมิ ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง "เชคสเปียร์ต้องตาย" หรือ "Shakespeare Must Die" ที่ถูกคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์สั่งห้ามฉายในราชอาณาจักร ให้สัมภาษณ์ว่า ตนและอิ๋ง-สมานรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ ผู้กำกับการแสดงภาพยนตร์เรื่อง "เช็คสเปียร์ต้องตาย" ได้สร้างภาพยนตร์ขึ้นมาอีกหนึ่งเรื่องว่า "เซ็นเซอร์ต้องตาย" หรือ "Censor Must Die" เป็นภาพยนตร์สารคดีที่ถ่ายทอดประสบการณ์ของภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่โดนแบน

"เรา ถ่ายทอดให้เห็นประสบการณ์ว่าต้องผจญกับอะไรบ้าง ทำอะไรบ้าง กระบวนการต่างๆ ที่ต้องผ่านเป็นอย่างไร ให้เห็นว่าสังคมไทยมีปัญหาในเรื่องของการตระหนักต่อสิทธิเสรีภาพ" มานิตกล่าว และว่า ตั้งใจจะนำภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวออกฉายให้คนทั่วไปชม ดังนั้น หลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้นในอีก 2-3 เดือนนี้ ก็จะส่งภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวให้คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พิจารณา

"ผลจะออกมาเป็นยังไงเราก็คงจะยอมรับสภาพ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด" มานิตกล่าวในที่สุด


หน้า 24 มติชนรายวัน วันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2555  

ผู้สร้าง"เชคสเปียร์ต้องตาย" ฟ้องศาลปกครอง ถูกห้ามฉาย เรียกค่าเสียหาย 7.5 ล้าน

8.09.2012

0 comments  

http://www.matichon.co.th/

วันที่ 09 สิงหาคม พ.ศ. 2555 เวลา 15:05:51 น.




หลังมีคำตัดสินว่าภาพยนตร์ นอกกระแสอย่าง "เชคสเปียร์ต้องตาย" ซึ่งดัดแปลงจากบทละครโศกนาฏกรรม "แม็คเบ็ธ" ของ "วิลเลียม เชคสเปียร์" ไม่ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์ (กองเซ็นเซอร์) กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม เมื่อวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2555 โดยได้รับเรท "ห" หรือ ห้ามเผยแพร่ในประเทศไทย

ล่าสุด ทางผู้อำนวยการสร้างและเจ้าของลิขสิทธิ์ ได้ออกคำแถลงการณ์เรื่องการยื่นฟ้องคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ แล้ว มีเนื้อหาดังนี้

ข้าพเจ้านายมานิต ศรีวานิชภูมิ และนางสาวสมานรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ ร่วมกันเป็นผู้ฟ้องคดี โดยมีผู้ถูกฟ้อง คือ คณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ที่มีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะประธานกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ และคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ คณะที่ 3 ได้ร่วมกันไม่อนุญาตให้ภาพยนตร์เรื่อง "เชคสเปียร์ต้องตาย" ซึ่งแปลจากบทประพันธ์โดยกวีเอกของโลก วิลเลี่ยม เชคสเปียร์ เรื่อง The Tragedy of Macbeth ให้เผยแพร่ในราชอาณาจักร ด้วยเหตุผลดังนี้


1 .คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ คณะที่ 3 ไม่อนุญาตด้วยเหตุผลว่า มีเนื้อหาที่ก่อให้เกิดการแตกสามัคคีระหว่างคนในชาติ ทั้งที่เหตุผลดังกล่าวมิชอบด้วยกฎหมาย และในสังคมไทยมีเหตุการณ์ที่มีการเข่นฆ่าประชาชนเกิดขึ้นหลายครั้งหลายหน อาทิ เช่น เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 , เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519, เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 และกรณีสงครามยาเสพติดที่มีผู้เสียชีวิตกว่า 2,500กว่าคน (1 กุมภาพันธ์ ถึง 30 เมษายน 2546 ) เป็นต้น ซึ่งเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นย่อมเป็นความรุนแรงของสังคมไทย ที่มิอาจลืมเลือนหรือปกปิดไว้ได้แต่อย่างใด โดยชนชาวไทยสมควรมาเรียนรู้ร่วมกัน เพื่อร่วมมือกันมิให้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นอีก


2 .คณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ที่มีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการชุดดังกล่าว ไม่อนุญาตด้วยเหตุผลว่า "มีบางฉากมีเนื้อหาที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน" หรือ "อาจกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของรัฐ และเกียรติภูมิของประเทศ" ทั้งที่เหตุการณ์ความรุนแรงเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยหลายครั้ง หลายหน สมควรเป็นบทเรียนตามข้อ 1 .ส่วนเหตุผลความมั่นคงของรัฐนั้น หมายถึง "รัฐชาติ" มิใช่รัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง และเกียรติภูมิของประเทศก็เช่นกัน มิใช่เกียรติภูมิของรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง


ดังนั้น ผู้ฟ้องคดีทั้งสองจึงขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งเพิกถอนมติและคำสั่งของผู้ ถูกฟ้องทั้งสอง ที่ห้ามฉาย ห้ามจัดจำหน่ายภาพยนตร์เรื่อง "เชคสเปียร์ต้องตาย" ในราชอาณาจักร และเรียกร้องค่าเสียหายจากเงินทุนที่ใช้ในการสร้างภาพยนตร์ เรื่องดังกล่าว พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี รวมเป็นเงินทั้งสิ้นถึงวันฟ้อง เป็นจำนวน 7,530,388.55 บาท (เจ็ดล้านห้าแสนสามหมื่นสามร้อยแปดสิบแปดบาทห้าสิบห้าสตางค์) ส่วนค่าใช้ จ่ายอันเป็นค่าตอบแทนส่วนตัว ในกระบวนการผลิตภาพยนตร์ของผู้ฟ้องทั้งสอง และค่าเสียหายจากการเสื่อมเสีย ชื่อเสียงด้วยเหตุผลที่ผู้ถูกฟ้องอ้างและค่าเสียโอกาสในการร่วมลงทุนสร้าง ภาพยนตร์กับบุคคลอื่น ผู้ฟ้องคดีทั้งสองไม่ติดใจเรียกร้องแต่อย่างใด

ยกคำวินิจฉัย กก.สิทธิฯฟ้องศาลปกครองคุ้มครองห้ามฉายเชคสเปียร์

0 comments  

http://www.matichon.co.th/

วันที่ 08 สิงหาคม พ.ศ. 2555 เวลา 14:45:20 น


เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม นายมานิต ศรีวานิชภูมิ ผู้สร้างภาพยนตร์เชคสเปียร์ต้องตายกล่าวว่า หลังจากคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ห้ามฉายภาพยนตร์ดังกล่าว เนื่องจากมีเนื้อหาก่อให้เกิดการแตกความสามัคคีระหว่างคนในชาตินั้น เมื่อเร็วๆ นี้ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา เนื่องจากมองว่า การสั่งห้ามฉายภาพยนตร์ดังกล่าวเป็นการละเมิดสิทธิตามมาตรา 4 ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ และเสรีภาพของบุคคล ย่อมได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

"เบื้องต้นได้รับแจ้งผลการวินิจฉัยด้วยวาจาจาก นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ประธานอนุกรรมการสิทธิพลเมืองและสิทธิการเมือง ในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติว่า ผมถูกละเมิดสิทธิจริงตามที่ร้องเรียนไปจริง ขณะนี้อยู่ระหว่างรอหนังสือแจ้งมาเป็นลายลักษณ์อักษรมาอีกครั้ง ส่วนการไต่สวนของกรรมาธิการสิทธิฯ วุฒิสภานั้น ทราบว่าเสร็จสิ้นไป เมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งคิดว่าคำวินิจฉัยคงจะออกมาไม่แตกต่างกัน"
นายมานิตกล่าวว่า จะนำคำวินิจฉัยของคณะกรรมการทั้ง 2 ชุด ไปเป็นข้อมูลเพื่อนำไปฟ้องร้องต่อศาลปกครองในวันที่ 9 สิงหาคม เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครอง ที่สำคัญการยื่นฟ้องครั้งนี้ยังได้เรียกร้องค่าเสียหายอีกประมาณ 7 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับงบสร้างภาพยนตร์ดังกล่าว เพื่อเป็นบรรทัดฐานมิให้มีการละเมิดสิทธิของประชาชนอีก

หรือว่า...เชคสเปียร์"ต้องตาย"

6.27.2012

0 comments  


http://www.matichon.co.th/



วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555 เวลา 11:30:14 น



ที่ว่ากันว่า "ศิลปะยืนยาว ชีวิตสั้น" นี่ท่าจะจริง

เพราะ กว่า 400 ปีผ่าน โศกนาฏกรรมเรื่องเยี่ยมของ "วิลเลียม เชคสเปียร์" อย่าง "แม็คเบ็ธ" ก็ยังคงอยู่ แถมถูกปลุกขึ้นมาโลดแล่นอยู่บ่อยๆ

ล่า สุด ก็ถูกดัดแปลงมาอยู่ในหนัง "เชคสเปียร์ต้องตาย (Shakespeare Must Die)" ที่ "มานิต ศรีวานิชภูมิ" อำนวยการผลิต และ "สมานรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์" เขียนบท รวมทั้งกำกับ
เรื่องราวเล่าถึงละครเวทีที่ซ้อนอยู่ใน หนัง โดยเป็นการเสียดสี "ท่านผู้นำ (พิศาล พัฒนพีระเดช)" ที่กว่าจะขึ้นมาสู่ตำแหน่งสูงสุดได้ต้องลอบฆ่ากษัตริย์

อีกทั้งยอมคร่าอีกหลายชีวิตที่ขวางทาง โดยมีคำทำนายอันหอมหวานของแม่มดทั้ง 3 ชักจูง

และมีเบื้องหลังอย่าง ""คุณหญิงเมฆเด็ด" (ธาริณี เกรแฮม)" ภรรยาคอยช่วยผลักดัน

การตัดสลับระหว่างฉากโรงละคร กับฉากในโลกแห่งความจริง ถือเป็นวิธีการเล่าเรื่องอย่างชาญฉลาด

เพราะฉากยากๆ อย่างการรบพุ่ง หากเล่าให้สมจริงคงต้องใช้ทุนมาก

การจับไปใส่ไว้ในฉากโรงละครจึงน่าจะง่ายและประหยัด สำหรับหนังที่ผู้สร้างออกตัวว่าเป็น "หนังผีทุนต่ำ"

แม้ จะงบน้อยแต่นักแสดงนำมากฝีมือ ทั้ง "พิศาล, ธาริณี, ชัชดนัย มุสิกไชย, ต่อตระกูล จันทิมา, สกุล บุณยทัต" ฯลฯ สามารถดึงคนดูได้ตลอดเรื่อง

ขณะที่โครงเรื่องไม่ต่างจากเดิม คือ ว่าด้วยเรื่องความละโมบโลภมาก หลงใหลในอำนาจ ซึ่งพาคนสู่หายนะ

จะต่างก็ตรงที่เหตุการณ์ความขัดแย้งไม่ได้อยู่เพียงแค่ชนชั้นนำ แต่แตกแยกไปถึงกลุ่มประชาชนคนทั่วไป เข้ากับสถานการณ์บ้านเรา

แถมหลายฉาก หลายองค์ประกอบยังดูคล้ายจนแทบแยกไม่ออก

โดยเฉพาะเรื่องสีที่ถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์

"สี" ที่กลายเป็นเรื่องอ่อนไหวอย่างยิ่งในสังคม

ภาพจำลองเหตุการณ์ประวัติศาสตร์การเมืองไทย เมื่อ 6 ตุลาคม 2519 ก็น่าจะเป็นอีกเหตุผลที่อ่อนไหว

ซึ่งเมื่อรวมๆ กันแล้วน่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกแบน ห้ามฉายเด็ดขาดในประเทศไทย

ที่ ว่ากันตามจริง หากไม่คิดอะไรมากไปกว่า "ความเป็นหนัง" "เชคสเปียร์ต้องตาย" จะเป็นหนังดีที่สะท้อนภาพการเมืองที่มีผู้นำปกครองด้วยระบอบเผด็จการ ใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา และพยายามทุกอย่างเพื่อรักษาอำนาจไว้ให้นานที่สุด

ขณะที่ประชาชนก็ฆ่าฟันกันเอง เพราะความเห็นต่าง อย่างที่ไม่มีฝ่ายไหนเปิดใจรับฟังฝ่ายตรงข้าม สุดท้ายก็ส่งผลให้บ้านเมืองระส่ำระสาย

คงทำให้คนที่ดูสะท้อนใจ และหวนคิดถึงอะไรๆ รอบตัวได้

แต่ในเมื่อเรื่องทั้งหมดถูกตีความว่า "ซ่อนนัย"

"เชคสเปียร์" ที่โด่งดังไปทั่วโลกจึงอาจถึงคราว "ต้องตาย" ในเมืองไทย

"ที่อยู่ในช่วงเวลาอันเปราะบาง พร้อมจะแตกหักได้ทุกเมื่อ"


หลัก สูตรนิเทศศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาการภาพยนตร์ วีดิทัศน์ ม.เกษมบัณฑิต ร่วมกับสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย จัดสัมมนาวิชาการเรื่อง ""พ.ร.บ.ภาพยนตร์ 2551 ขัดขวางสิทธิและเสรีภาพของผู้ชมและผู้สร้างภาพยนตร์ไทยหรือไม่ : ศึกษา Backyard และเชคสเปียร์ต้องตาย"" ในวันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน เวลา 15.00 น. ณ อาคาร 1 ชั้น 5 ห้อง 1504 ม.เกษมบัณฑิต วิทยาเขตพัฒนาการ โดยมีปรัชญา ปิ่นแก้ว, ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์, มานิต ศรีวานิชภูมิ, ภานุ อารี ลฯ

สนใจเข้าฟังได้โดยสะดวก

"สอบถามรายละเอียดเพิ่มที่โทร. 08-7802-0383"

แจงเหตุผลไม่ชัดผู้สร้างหนังเชคสเปียร์เตรียมร้องกสม.-ส.ว.โดนแบน

5.28.2012

0 comments  

มติชน
วันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 เวลา 15:55:34 น.
http://www.matichon.co.th/



เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม นายมานิต ศรีวานิชภูมิ ผู้สร้างภาพยนตร์ไทยเรื่องเชคสเปียร์ต้องตาย กล่าวว่า ได้รับหนังสือจากนายสมชาย เสียงหลาย ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ในฐานะกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการภาพยนตร์แห่งชาติ กรณีมีมติไม่อนุญาตให้ฉายภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวแล้ว แต่ตนไม่ยอมรับมติดังกล่าว เพราะคณะกรรมการภาพยนตร์ฯ ยังชี้แจงเหตุผลห้ามฉายไม่ชัดเจน เขียนแบบกว้างๆ ที่สำคัญเหตุผลที่ห้ามฉายได้เพิ่มเนื้อหาอีก จากเดิมเป็นภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาสาระบางส่วนที่ก่อให้เกิดการแตกความสามัคคี คนในชาติ กลับส่งหนังสือมาว่าเห็นว่าเนื้อหาภาพยนตร์ แม้จะดัดแปลงให้เป็นประเทศสมมติก็ตาม แต่ก็มีลักษณะที่สื่อความหมายให้เข้าใจว่าเป็นสังคมไทย และบางฉากยังมีเนื้อหาที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรืออาจกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของรัฐและเกียรติภูมิของประเทศด้วย

ส่วนกรณีคณะกรรมการภาพยนตร์ฯ แจ้งกับทางผู้สร้างว่าภาพยนตร์ดังกล่าวมีเนื้อหานำเสนอเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 นั้น ยืนยันว่าภาพยนตร์ไม่มีเนื้อหา ข้อความส่วนใดชี้ชัดหรือเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 แต่ยอมรับว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเพียงแรงบันดาลใจในการสร้างเท่านั้น อย่างไรก็ตามเคยมีภาพยนตร์ที่ถ่ายทอดเรื่องราวเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ทางคณะกรรมการภาพยนตร์ฯ ก็อนุญาตให้ฉายได้ ดังนั้นจึงถือว่าถูกละเมิดสิทธิตามมาตรา 4 ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ และเสรีภาพของบุคคล ย่อมได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยวันที่ 30 พฤษภาคมนี้ เวลา 10.00 น. ตนจะไปยื่นหนังสือร้องเรียนต่อกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) และเวลา 13.00 น. จะไปร้องต่อกรรมาธิการสิทธิฯ วุฒิสภาด้วย

ฝันร้ายคนทำหนัง! ผลอุทธรณ์ฟัน "เชคสเปียร์ต้องตาย" ถูก "แบน" ทีมสร้างลั่นสู้ยิบตา

5.11.2012

0 comments  

วันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 เวลา 17:15:59 น.
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1336730900&grpid=&catid=08&subcatid=0801


บ่ายวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ.2555 ที่กระทรวงวัฒนธรรม คณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ที่มี พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ ได้ประชุมนัดพิเศษเพื่อพิจารณาผลการยื่นกรณีนายมานิต ศรีวานิชภูมิ ผู้สร้างภาพยนตร์เรื่อง "เชคสเปียร์ต้องตาย" (Shakespeare Must Die) ได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งของคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ในกรณีที่มีมติห้ามฉายภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว เพราะเห็นว่ามีเนื้อหาที่ก่อให้เกิดการแตกความสามัคคีระหว่างคนในชาติ


ผลการพิจารณาของคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ออกมาว่า ยังยืนยันในมติเดิม นั่นคือห้ามฉายภาพยนตร์ เรื่องนี้ ซึ่งหมายความว่า "เชคสเปียร์ต้องตาย" ถูก "แบน" ห้ามฉายในประเทศไทย
ภายหลังจากที่มีมติเช่นนี้ นายมานิต ศรีวานิชภูมิ ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้เปิดเผยกับ "มติชนออนไลน์" ว่า


"คณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ มีมติ ′แบน′ หนังเรื่องนี้ ซึ่งเราคิดว่า ถ้าเป็นเช่นนี้ เราจะเดินหน้าสู้ต่อไป 3 แนวทางครับ
"แนวทางแรกที่เราคิดไว้ก็คือ คงไปที่ศาลปกครอง เพื่อยื่นคำร้องว่าไม่เห็นด้วยกับการแบนหนังเรื่องนี้ แนวทางที่ 2 เราคงดูประเด็นเรื่องการละเมิด ซึ่งต้องคุยกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ ในเรื่องนี้ ส่วนแนวทางที่ 3 ก็คือ การประท้วง อาจจะจัดฉายหนังให้ตำรวจจับก็ได้ แต่ก็ดูอยู่ว่า จะประท้วงในรูปแบบไหนดี ซึ่งเรายังไม่สรุป แต่ตอนนี้ ผมบอกตรงๆว่า ผิดหวังมาก"

บอร์ดภาพยนตร์ฯนัดดู "เชคสเปียร์ต้องตาย" 3 พ.ค. ลงมติ 11 พ.ค.นี้

4.29.2012

0 comments  

เมื่อวันที่ 26 เมษายน นายสมชาย เสียงหลาย ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ที่มี พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเมื่อเร็วๆ นี้ได้หารือถึงกรณีนายมานิต ศรีวานิชภูมิ ผู้สร้างภาพยนตร์เรื่องเชคสเปียร์ต้องตาย (Shakespeare Must Die) ยื่นอุทธรณ์คำสั่งของคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ซึ่งมี พล.ต.ต.เอนก สัมพลัง เป็นประธาน มีมติห้ามฉายภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว เพราะเห็นว่ามีเนื้อหาที่ก่อให้เกิดการแตกความสามัคคีระหว่างคนในชาติ โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบนัดคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติและ ผู้ทรงคุณวุฒิทุกคน ประมาณ 30 คนไปชมภาพยนตร์เรื่องเชคสเปียร์ต้องตาย ในวันที่ 3 พฤษภาคม เวลา 09.30-12.00 น. ที่โรงถ่ายกันตนา (แยกเหม่งจ๋าย)

ปลัด วธ.กล่าวว่า หลังจากคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติได้ชมภาพยนตร์ดังกล่าวเรียบ ร้อยแล้ว ก็จะมีการนัดประชุมนัดพิเศษในวันที่ 11 พฤษภาคม เวลา 14.00-16.30 น. เพื่อพิจารณาคำอุทธรณ์และให้คณะกรรมการแต่ละคนลงมติว่าจะให้ฉายภาพยนตร์ เรื่องดังกล่าวหรือไม่ ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มอบหมายให้นายโกเมน ภัทรภิรมย์ ประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาและให้ความเห็นด้านกฎหมายและด้านวินิจฉัยอุทธรณ์ คำสั่ง ตาม พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ.2551 จัดทำรายงานสรุปความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของคณะอนุกรรมการพิจารณาที่ได้ ประชุมมาแล้ว รายงานให้คณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติรับทราบ เพื่อประกอบการชมภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวในวันที่ 3 พฤษภาคมด้วย


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1335421605&grpid&catid=08&subcatid=0801

ประมวลเสียงคัดค้าน หลังหนังไทย "เชคสเปียร์ต้องตาย" ถูกคำสั่ง "ห้ามฉาย"

4.08.2012

0 comments  

มติชน
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1333538454&grpid=01&catid=&subcatid=


วันที่ 04 เมษายน พ.ศ. 2555 เวลา 21:14:00 น



หลังจากภาพยนตร์เรื่อง "เชคสเปียร์ต้องตาย" ได้รับเรต "ห" หรือ "ห้ามฉาย" จากคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม เมื่อวันที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา

รายงานความคืบหน้าล่าสุดจากเฟซบุ๊ก "Shakespeare Must Die" ระบุว่าผู้สร้างได้เริ่มกระบวนการยื่นอุทธรณ์ผลการพิจารณาของคณะกรรมการฯ ชุดดังกล่าวแล้ว

มติชนออนไลน์ขออนุญาตประมวลความคิดเห็นของผู้ที่แสดงจุดยืนคัดค้านการ"ห้ามฉาย"ภาพยนตร์เรื่องนี้มาเผยแพร่ดังนี้

เกษียร เตชะพีระ
อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
(เฟซบุ๊กส่วนตัว)

เชคสเปียร์เด็ก ๆ แมคเบธชิดซ้ายเมื่อเจอพี่ไทย

คือไอ้ที่เกิดขึ้นในบ้านเราสี่ห้าปีหลังนี้ไม่ว่าความมักใหญ่ใฝ่สูงต่ำทรามของสันดานบ้าอำนาจโหดเหี้ยมหักหลังแย่งชิง โกหกหลอกลวง ปล่อยข่าวเท็จ ป้ายสี ใส่ร้าย ข่มขู่ ทำร้าย อุ้มหาย ลอบสังหาร ฆ่าหมู่กลางเมือง ฯลฯลฯลฯลฯลฯ มันน่าสยดสยองและทำลายศีลธรรมอันดีของมนุษยชาติยิ่งกว่าในหนังเชคสเปียร์ต้องตายไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า จนฝรั่งห้ามทัวริสต์เข้าไทยก็ตั้งหลายรอบ ดังนั้น หนังเรื่องนี้ก็ "เด็ก ๆ" นะครับ พี่ไทยเราโหดกว่าแมคเบธเยอะ ดังนั้นที่บอกว่ากลัวคนดูจะแยกแยะเรื่องจริงกับเรื่องแต่งไม่ออกน่ะ เฮ้ย พวกท่านไปอยู่ไหนมา? เมืองไทยนะเว้ยเมืองไทย ศรีเชคสเปียร์ ชิดซ้ายไปเลย

สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
(เฟซบุ๊กส่วนตัว)

โอเค พอรู้แล้วครับ เรื่อง "เช็คสเปียร์ต้องตาย" มันออกมายังไง

...

อ่านที่บทความนี้ ของผู้สร้างนะครับ
http://www.shakespearemustdie.com/search?updated-max=2012-04-03T03%3A54%3A00-07%3A00&max-results=1&start=1&by-date=false

เช่น

"เราต้องต่อสู้กับความกลัวจริงๆ เพราะการทำหนังของเราต้องเผชิญทั้ง ′ไฟนรกและน้ำสูง′ คือการยึดพื้นที่กลางเมืองโดยเสื้อแดงตามด้วยเผาบ้านเผาเมืองในปี 2553 ซึ่งทำให้โรงถ่ายปิด ต้องพักการถ่ายทำถึงสองอาทิตย์ และสร้างความยากลำบากสุ่มเสี่ยงในการเดินทางมาทำงานของทุกๆ คน โดยเฉพาะคุณหญิงเมฆดับ (เลดี้แม็คดัฟ) ซึ่งโดนก่อกวนเชิงลวนลามโดยการ์ดเสื้อแดงทั้งเช้าและค่ำ จนต้องย้ายไปนอนบ้านเพื่อน และครั้งหนึ่ง (28 เม.ย.) ทำให้เราติดอยู่ที่รังสิต เมื่อถนนวิภาวดีรังสิตถูกตัดขาด บ่ายวันที่ทหารโดนซุ่มยิงตายในเหตุการณ์รุนแรงที่อนุสรณ์สถาน-ตลาดไท แล้วพอรอดจากไฟนรกก็ต้องผจญภัยกับน้ำสูง (โพสต์โปรดักชั่นขั้นสุดท้ายขัดข้องเพราะน้ำท่วม)"

แต่ผมต้องยืนยันความเห็น ตั้งแต่ที่ได้ข่าวเรื่องแบนแล้วว่า ผมไม่เห็นด้วยกับการแบนหนังนะครับ

ผมไม่เชื่อหรอกว่า "ชาติ" นี้ มันจะ "เปราะบาง" ขนาดที่หนังเรื่องเดียวทำให้ "เกิดการแตกแยกของคนในชาติได้"

ไม่ว่า ผู้สร้างหนัง มีทัศนะการเมืองอย่างไร ผมก็ว่า ไม่ควรแบน (ลองอ่าน บทความที่ให้ link ดูนะครับ ผมว่า คนสร้างจะยิ่ง ด่า รบ.ยิ่งลักษณ์หนัก นี่ก็พูดถึง "ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความขัดแย้งทางการเมืองในสังคมไทย ที่นับวันยิ่งแตกแยกทวีคูณภายใต้การปกครองของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร..." อะไรแล้ว)

................

ความจริง ผมเดาแต่แรก ที่เห็นชื่อคนสร้างว่า น่าจะออกมาในแนว "อัด" เสื้อแดง - ทักษิณ มากกว่า แต่อ่านรายงานมติชน ตอนแรก ก็ลังเลว่า หรือ จะ "อัด 2 ฝ่าย" แต่ดูจากบทความแล้ว ผมสงสัยว่า น่าจะ "โฟกัส" การ "อัด" ที่ฝ่ายนี้ (เสื้อแดง-ทักษิณ) นั่นแหละ

และผมกำลังสงสัยว่า ตัวเอก แม็คเบธ คนสร้างบรรยายไว้ดังนี้

"เป็นเรื่องราวของขุนพลที่มักใหญ่ใฝ่สูงอย่างไร้ขอบเขต และคลั่งไคล้ในไสยศาสตร์ เมื่อมีแม่มดมาทักว่าจะได้เป็นกษัตริย์ในภายหน้า และโดยการยุยงของภรรยา เขาสังหารพระราชาเพื่อสถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์ แม็คเบ็ธปกครองแผ่นดินด้วยความบ้าอำนาจ พาให้บ้านเมืองตกอยู่ในยุคมืดมนแห่งความหวาดกลัว โดยที่ตัวเขาเองก็ปราศจากความสุข ต้องใช้ความรุนแรงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพื่อรักษาอำนาจของตน"

ผมว่า ต้องการให้หมายถึงทักษิณ แหงๆ

................

ชญานิน เตียงพิทยากร
นักวิจารณ์ภาพยนตร์รุ่นใหม่
(เฟซบุ๊กส่วนตัว)

เชคสเปียร์ต้องตาย (Thailand, สมานรัชฎ์ กาญจนวณิชย์, 2012, A+++++++++++++++++++++++++)

เมื่อครั้งดูจบใหม่ๆ ผมเขียนอะไรไร้สาระประเภทว่า ถ้าเกิดหนังได้เข้าฉาย การมี ธาริณี เกรแฮม อยู่ในรายชื่อสาขานักแสดงนำหญิง คงจะเป็นความดุเดือดเลือดพล่านอันน่าปรารถนาสำหรับพวกบ้าหนังอย่างเรา

สุดท้ายมันก็ไม่เกิดขึ้นจริง เมื่อกรรมการเซ็นเซอร์ได้สั่งแบนหนังเรื่องนี้ไปเรียบร้อยแล้ว

′เชคสเปียร์ต้องตาย′ เล่าเรื่องทับซ้อนสองเส้น เส้นหนึ่งว่าด้วยผู้นำประเทศนาม ′เมฆเด็ด′ กับหนทางสู่อำนาจของเขา ซ้อนทับเข้ากับเส้นเรื่องของละครเวที ′แม็คเบธ′ ที่ผู้กำกับคนหนึ่งจัดแสดงขึ้น เพื่อเป้าประสงค์ทางการเมืองอย่างไม่อ้อมค้อม ก่อนที่สภาพของเวทีละครจะกลายเป็นแหล่งสังหารหมู่เมื่อสารทางการเมืองของมันกระทำการได้สัมฤทธิ์ผลในท้ายที่สุด

การแพร่กระจายของสารนั้นอาจรุนแรงจนรัฐต้องหวาดผวา พวกเขาจึงต้องตัดตอนมันอย่างป่าเถื่อน - เช่นเดียวกับที่หนังเรื่องนี้ถูกสั่งห้ามฉาย - สุดท้ายแล้วพวกคนที่เชิดหน้าชูคอ ริอ่านจะเอาแม็คเบธมาแสดงในสังคมไทย มันก็ต้องพบกับจุดจบเดียวกัน

มันไม่เกี่ยวกับว่าสุดท้ายแล้วนี่จะเป็นหนังของใคร เป็นหนังของคนที่เข้าชุมนุมทางการเมืองกับสีไหน เป็นหนังที่สร้างมาเพื่อด่าใคร ไม่ว่าจะเพื่อด่าแบบตรงๆ เหมือนกำหมัดแล้วส่งแรงเหวี่ยงเข้าไปที่ปลายคางของคนนั้นคนนี้ หรือสิ่งที่จำต้องด่าแบบแอบๆ ซ่อนๆ เพราะประเทศนี้การพูดอะไรตรงไปตรงมานั้นถือเป็นของแสลง

มันถูกแบนเพียงเพราะมันพูดเรื่องการเมืองแบบไม่มีน้ำตาลเคลือบ นี่คือความอัปยศของประเทศแห่งพระสยามเทวาธิราชแห่งนี้ ประเทศที่เป็นบ้ากับความสงบ ความสามัคคี ความสมานฉันท์ กระทั่งต้องตัดตอนทุกสิ่งที่มันคิดไปเองว่าอาจก่อให้เกิดความขัดแย้ง หรือเกิดการกระทบกระทั่งทางความคิด อันจะทำให้ภาวะสงบเงียบราบคาบของสังคมนั้นถูกทำลายลง

ต่อให้ผมจะคิดไม่เหมือนคุณอิ๋งในด้านทัศนคติทางการเมืองแบบแทบจะยืนตรงข้ามกัน แต่ในความเป็นภาพยนตร์ มันควรได้ทำหน้าที่ตามที่มันถูกสร้างขึ้นมา นั่นคือการออกฉายและมีเสียงตอบรับ ไม่ว่ามันจะเป็นดอกไม้ช่อยักษ์หรือก้อนหินดินทราย

ไม่เกี่ยวว่าหนังเรื่องนี้จะด่าใคร เสยกำปั้นเข้าปลายคางใคร มุบมิบกระซิบซ่อนความนัยถึงใคร ไม่เกี่ยวว่าหนังเรื่องนี้สร้างขึ้นมาด้วยความลึกซึ้งหรือตื้นเขินทางการเมือง หรือจะถูกต้องทางการเมืองตามทฤษฎีไหนๆ หรือไม่

เมื่อมันออกฉาย ผู้คนเพียงหยิบมือ (สำหรับหนังประเภทนี้) ก็จะสร้างบทสนทนาวิวาทะต่อกัน ไม่ว่าพวกเขาจะเห็นด้วยกับมัน รังเกียจสาปส่งมัน เห็นว่ามันเป็นเทพหรือเห็นเป็นปีศาจอัปรีย์

ในประเทศที่เต็มไปด้วยความสงบราบคาบนี้ ความตรงไปตรงมาแบบไม่อ้อมค้อมเท่าที่ ′เชคสเปียร์ต้องตาย′ มีอยู่ ได้ทำให้มันกลายเป็นหนังสำคัญเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ไทยร่วมสมัย ไม่ว่าสารทางการเมืองของมันจะปลุกไฟขึ้นกับผู้ที่ได้รับชม (ไม่ว่าพวกเขาจะยืนอยู่ข้างเดียวกับผู้สร้างหรือไม่) หรือจะแห้งตายซากเหมือนไม้ขีดที่ทำได้แค่จุดบุหรี่

อาถรรพ์ที่แม็คเบธเวอร์ชั่นนี้ต้องเผชิญ ยิ่งทำให้มันกลายเป็นสิ่งสำคัญยิ่งขึ้นไปอีก ความหวาดกลัวภาวะไม่เสถียรได้ยกให้มันสูงเลอค่าในฐานะผู้ถูกกระทำ ไม่มีใครมีโอกาสได้รับชม วิพากษ์ หรือขว้างมูลอุจาดใส่มันเมื่อเขารังเกียจ ความวิตกจริตอันวิปริตกลับยิ่งช่วยขัดเงาให้มันศักดิ์สิทธิ์เลอค่ากระทั่งไม่มีใครได้สัมผัสมันจริงๆ

และเชคสเปียร์ก็ยังไม่ตาย

(3 เมษายน 2012)

แถลงการณ์ผู้กำกับ "เชคสเปียร์ต้องตาย"

(เขียนเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2555 คลิกอ่านฉบับเต็มได้ที่ http://www.shakespearemustdie.com/search?updated-max=2012-04-03T03:54:00-07:00&max-results=1&start=1&by-date=false)

บทความนี้เขียนขึ้นขณะที่เรากำลังเตรียมใจส่ง "เชคสเปียร์ต้องตาย" ไปให้กองเซ็นเซอร์พิจารณา ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความขัดแย้งทางการเมืองในสังคมไทย ที่นับวันยิ่งแตกแยกทวีคูณภายใต้การปกครองของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และไม่ถึงสามเดือนหลังจากมหาอุทกภัย ซึ่งพาให้เราใจหายใจคว่ำไปพักหนึ่ง เมื่อหนังของเราต้องพลอยติดเกาะอยู่ที่ห้องแล็บใกล้สนามบินดอนเมือง

ตั้งแต่จำความได้ฉันไม่เคยเห็นเมืองไทยอารมณ์เลวร้ายเท่ากับยามนี้ทุกอณูอากาศทุกผงธุลีเปี่ยมล้นด้วยความโกรธเกลียดชังความเศร้า ความสิ้นศรัทธา

จึงค่อนข้างแน่นอนว่าทั้งกองเซ็นเซอร์และฝ่ายอื่นๆ ย่อมตั้งคำถามลักษณะนี้กับเรา: พวกคุณไม่เกรงกลัวหรือว่าหนังเรื่องนี้อาจทำให้สังคมแตกแยกยิ่งขึ้น?; คุณมีอคติต่อเสื้อแดงหรือเปล่า?; คุณไม่กลัวเสื้อแดงมาฆ่าหรอกเหรอ?; หนังเรื่องนี้เป็นการโจมตีครอบครัวชินวัตรใช่ไหม?; หรือว่าเป็นการโจมตีพระราชวงศ์...; หนังเรื่องนี้รื้อฟื้นบาดแผลสังคมทั้งเก่าและใหม่โดยไม่จำเป็นหรือไม่?; ทำไมคุณหญิงเมฆเด็ด (เลดี้แม็คเบ็ธ) จึงเรียกปีศาจร้ายให้เข้ามาสิงตัวเธอ ขณะที่กำลังพนมมืออยู่หน้าพระพุทธรูป? ฯลฯ

************************************************************

คติ ประจำกองถ่ายของเราคือ:"ต่อสู้ความกลัวด้วยศิลปะ–สร้างศิลปะด้วยความรัก "ซึ่งเป็นคติประจำใจที่ไม่อำนวยความสะดวกสบายให้แก่ชีวิตแต่มันสว่างดีฉัน พิมพ์มันลงบนเสื้อยืดประจำกอง ฉันแปะมันไว้ข้างประตูโรงถ่าย (ที่คณะนิเทศศาสตร์ ม.กรุงเทพ ที่รังสิต ซึ่งน่าเศร้ามากที่โดนน้ำท่วมจนเสียหายยับเยิน) เพื่อคอยเติมไฟให้ทุกคนในการทำงาน เคียงข้างวรรคหนึ่งจากอีกบทละครของเชคสเปียร์ "A Midsummer Night’s Dream" ("ฝันอลหม่านกลางเหมันต์") ซึ่งเล่ากันว่ามีอิทธิฤทธิ์เป็นยันตร์กันผีคำสาปแม็คเบ็ธอันน่าเกรงกลัว เพื่อให้นักแสดงที่ถือเรื่องนี้สบายใจ: "แน่ใจหรือว่าเราตื่นกันอยู่? ดูเหมือนกับว่าเรายังคงหลับ และฝัน"

เราต้องต่อสู้กับความกลัวจริงๆ เพราะการทำหนังของเราต้องเผชิญทั้ง "ไฟนรกและน้ำสูง" คือการยึดพื้นที่กลางเมืองโดยเสื้อแดงตามด้วยเผาบ้านเผาเมืองในปี 2553 ซึ่งทำให้โรงถ่ายปิด ต้องพักการถ่ายทำถึงสองอาทิตย์ และสร้างความยากลำบากสุ่มเสี่ยงในการเดินทางมาทำงานของทุกๆ คน โดยเฉพาะคุณหญิงเมฆดับ (เลดี้แม็คดัฟ) ซึ่งโดนก่อกวนเชิงลวนลามโดยการ์ดเสื้อแดงทั้งเช้าและค่ำ จนต้องย้ายไปนอนบ้านเพื่อน และครั้งหนึ่ง (28 เม.ย.) ทำให้เราติดอยู่ที่รังสิต เมื่อถนนวิภาวดีรังสิตถูกตัดขาด บ่ายวันที่ทหารโดนซุ่มยิงตายในเหตุการณ์รุนแรงที่อนุสรณ์สถาน-ตลาดไท แล้วพอรอดจากไฟนรกก็ต้องผจญภัยกับน้ำสูง (โพสต์โปรดักชั่นขั้นสุดท้ายขัดข้องเพราะน้ำท่วม)

ทุก ความหวาดหวั่นของเราหลั่งไหลลงในการสร้างผลงานทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังได้ เห็นได้ฟังได้ดูดซับจากโลกรอบๆตัวเราและหนังของเราทุกอย่างที่เรากลัวซึม ซ่านออกมากับทุกหยาดเหงื่อทุกรูขุมขนของเรา

ก็ไม่เป็นไร ยิ่งดีเสียอีก ในเมื่อเรากำลังทำหนังสยองขวัญกันอยู่

บางครั้ง มันทำให้ฉันต้องเปลี่ยนความคิดสำหรับบางฉาก เช่น ฉากสุดท้ายของแม่มด: สามนางกำลังนั่งดูชัยชนะของเมฆเด็ด (แม็คเบ็ธ) บนจอทีวี และตามบทพวกเธอต้องแสดงความสะใจนิยมยินดี แต่เราถ่ายทำฉากนี้รุ่งขึ้นจากวันที่ถนนเข้ากรุงเทพถูกตัดขาดโดยความรุนแรง เหล่าแม่มดที่น่าสงสารรู้สึกเศร้าใจ ไม่สามารถควานค้นหาความยินดีมาแสดง ถึงแม้ว่าในที่สุดฉันบีบคั้นความยินดีออกมาจนได้เทคหนึ่ง แต่มันรู้สึกจอมปลอม ไม่น่าเชื่อถือ สุดท้ายฉากนี้ในหนังจึงมีเพียงแม่มดที่ซึมเศร้าและรู้สึกผิด ละอายต่อมารร้ายที่พวกเธอปลุกปล้ำขึ้นมาคุกคามโลก ในลักษณะนี้ หนังของเราจึงถูกกล่อมเกลามาโดยปวงเทพมืดมัวที่มารุมเฝ้าการเกิดของมัน

การ ออกแบบเสียงสำหรับฉากคุกก็ได้มาจากวันนั้นขณะที่เสียงผู้หญิงประกาศทั่ว ม.กรุงเทพให้ทุกคนตั้งมั่นอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยและ"อย่าพยายามเดินทางเข้า กรุงเทพ"กองทัพเฮลิคอปเตอร์บินวนเวียนอยู่เหนือเมฆเหนือหัวเรา เสียง ฉ็อพฉ็อพฉ็อพ ระทึกใจของมันห่อหุ้มด้วยฟ้าเมฆต่ำสีเทา ส่งเสริมให้เสียงนั้นทั้งกังวานและอุดอู้อื้ออึง โดยที่เรามองไม่เห็นอะไรเลย

*************************************

บอกให้เราเข้าใจหน่อยเถิดว่าทำไมสิ่งนี้จึงไม่เพียงพอ?ศิลปะจำเป็นต้อง"เป็นกลาง"และ"ยุติธรรม"ด้วยหรือ? (ท่ามกลางความมึนเมาของการจงใจปั่นข่าวและบิดเบือนข้อเท็จจริงโดยหมอผีพีอาร์ และความรักตัวกลัวตายของนักสื่อสารมวลชน ขอถามว่าข่าวที่นำเสนอตามสื่อต่างๆ นั้น "เป็นกลาง" และ "ยุติธรรม" สักแค่ไหน? แทนที่จะมาเรียกร้องหาสิ่งนี้จากหนังผีทุนต่ำของเรา ทำไมคุณไม่ตั้งคำถามกับการที่หนังสือนิวส์วีคยกย่องยิ่งลักษณ์เป็นวีรสตรี--เคียงบ่าเคียงไหล่กับ อง ซาน ซู จี และฮิลลารี คลินตัน—ประมาณว่าแม่พระผู้ส่งเสริมความสมานฉันท์ และจัดการน้ำท่วมได้อย่างเก่งกาจ)

"เชคสเปียร์ต้องตาย" คือจุดรวมฝันร้ายของเรา นี่คือมโนภาพแห่งความสยองขวัญของเรา มันเป็นหนังผีมิใช่หรือ? หนังผีสมควรเป็นเรื่องของสิ่งที่พาให้เราใจหายและหวาดผวา มันไม่ใช่รายงานข่าวหรือแม้กระทั่งสารคดี มันไม่มีหน้าที่เลคเชอร์ข้อมูลอะไรให้คุณเชื่อ มันมีไว้ให้คุณได้สัมผัสด้วยอารมณ์ความรู้สึก ก็เท่านั้นเอง เราดูดซึมยาพิษจากยุคสมัยมาถักทอเป็นภาพต้องมนต์สะกดเพื่อความสนุกเพลิดเพลินของคนดู

หนัง ผี-หนังสยองขวัญจะทำหน้าที่ของมัน--คือไล่ผีและปลดปล่อยปมขมวดทางจิตให้เรา --ได้สำเร็จก็ต่อเมื่อมันไม่หลีกเลี่ยงสารพิษในผืนดินถิ่นกำเนิดของมันแต่ พร้อมที่จะหยั่งรากลึกลงไปในก้นบึ้งของพิษร้ายนั้นอย่างเต็มอกเต็มใจและเต็ม ที่

นอกจากนั้น ในฐานะนักทำหนังทุนต่ำที่มีปูมหลังเป็นนักข่าว ฉันอดใจไม่ได้ที่จะไม่ออกไปถ่ายภาพความวินาศสันตะโร ทั้งที่ไฟไหม้เซ็นทรัลเวิร์ลด์ยังไม่ทันดับ โดยเฉพาะโรงหนังสยามอันเป็นที่รัก พร้อมกับหน้ากากกรีกฝาแฝดแห่งการละคร ที่พักตร์หนึ่งเศร้า (โศกนาฎกรรม) และพักตร์หนึ่งหัวร่อ (ตลกหรรษา) ซึ่งผ่านกองเพลิงมาได้โดยไม่เป็นอะไรเลย เช่นเดียวกับแผ่นโปสเตอร์โฆษณาหนังรักตลกของเจนนิเฟอร์ อนิสตัน ที่กำลังฉายอยู่

ผู้กำกับงบน้อยต้องไขว่คว้า ต้องฉกฉวยทุกของถูกของฟรี ทุกโอกาสที่จะเติมความอลังการให้แก่หนัง ไม่มีทางเลยที่เราจะสร้างภาพมหากาพย์แบบนี้ขึ้นมาได้เองจากปัจจัยที่มีอยู่ ในเมื่อมันเจ๋งและเป็นของฟรี ฉันไม่อาจปฏิเสธของขวัญที่ฟ้าประทานมาให้บนถาดเงิน

ภาพ หลังแทนกรีนสกรีนหลังแม่มดในฉากนั้นเดิมจะเป็นการฉายซ้ำของน้ำตกไนแองการ่า เป็นเลือด(นี่ก็ของฟรีเหมือนกันที่รีบคว้ามาจากการได้ตั๋วฟรีไปเทศกาล ภาพยนตร์โตรอนโตกับ"พลเมืองจูหลิง"หนังเรื่องก่อน)แต่มันย่อมตกกระป๋องไป ในเมื่อเรามีไฟล์ภาพซากตอตะโกของเซ็นทรัลเวิร์ลด์กับหน้ากากโรงหนังสยาม

*******************************************

ส่วนการ "รื้อฟื้นแผลเก่า" ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากภาพข่าวรางวัลพูลิตเซอร์ของช่างภาพสำนักข่าวเอพี นีล ยูเลฟวิช รูปไทยมุงรอบชายในเสื้อซาฟารี ที่ใช้เก้าอี้เหล็กตีศพนักศึกษาที่ถูกแขวนคอกับต้นไม้กลางสนามหลวง เรื่องนี้ ฉันคงต้องโยนคำถามกลับมาให้ตอบกับตัวคุณเองว่า มันจำเป็นหรือไม่ที่จะเท้าความถึง 6 ตุลา มหาวิปโยค? เหตุการณ์นั้นมีชนวนอ้างอิงเป็นการแสดงละครประท้วงเช่นกัน โปรดสังเกตด้วยว่าโฟกัสในฉากนี้จับจ้องอยู่ที่ใบหน้าบรรดากองเชียร์ ไม่ใช่กับศพและชายที่ฟาดเก้าอี้ สิ่งที่ฝังใจเรามากกว่า คือคนที่เรียกกันว่าคนธรรมดา รวมทั้งเด็กๆ ที่มายืนหัวเราะและสนับสนุนยุยง

ภาพ ข่าวภาพนี้ ติดตาตำใจและจิตวิญญาณวัยรุ่นทึ่มๆ ของฉัน ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นในปี 2519 จนกลายมาเป็นความหมกมุ่นส่วนตัวมาตลอดชีวิต ภาพนี้หลอกหลอนเราด้วยความหวาดหวั่น—แบบเด็กกลัวผี--ว่าจะถูกเข่นฆ่าโดย อันธพาลคลั่งเจ้าและลูกเสือชาวบ้านและด้วยความรู้ซึ้งคาใจว่าคนธรรมดา อาจกลายเป็นฆาตกรและเมืองไทยกลายเป็นรวันดา1994ได้ภายในพริบตาเดียวหากว่า ถูกยุยั่วปั่นหัวเป็นหางโดยนักโฆษณาชวนชั่วอย่างถูกจุด

มาถึงวันนี้ แทนที่จะเป็นอันธพาลคลั่งเจ้าที่เราต้องกลัว เรามีกลุ่มคนบ้าคลั่งกลุ่มอื่นที่ไร้เหตุผลและนิยมความรุนแรงอย่างแท้จริง อันเป็นผลงานมหกรรมปั่นหัวโดยเครื่องจักรทักษิณ

ดังนั้น ไม่ว่าเขาจะอ้างว่าเขาเป็นซ้ายหรือว่าเป็นขวาไม่ใช่ประเด็น แต่คนลักษณะนี้ทำให้ชีวิตของเราและของบ้านเมืองไร้เหตุผลและเสียสติ ทำให้ความสงบเหือดหายและเป็นไปไม่ได้ เช่นเดียวกับเยอรมันกับนาซี เราควรให้ลูกหลานทุกคนได้เห็นภาพนี้ เราควรจดจำมันไว้เสมอ ไม่ใช่เพื่อโหมไฟอาฆาตพยาบาทต่อกัน แต่เพื่อเตือนใจทุกคน รวมทั้ง "คนดี" อย่างที่เราคิดว่าเราเป็นด้วย ที่อาจกลายเป็นปีศาจได้ ถ้าถูกยั่วยุเกินทน

*******************************************

ส่วน เรื่องการใช้สีแดงอย่างฟุ่มเฟือยในหนังขอยกสองประโยคแรกจากคำนำบทละคร"แม็ค เบ็ธ"ฉบับของคณะละครเชคสเปียร์ในพระบรมราชินูปถัมป์(TheRoyalShakespeare Company): "′แม็คเบ็ธ′ เป็นละครโศกที่สั้นและเร็วที่สุดของเชคสเปียร์ สีของมันคือสีดำและแดง"

สิ่งนี้ เป็นคุณลักษณะที่โจ่งแจ้งของละครเรื่องนี้เสียจนเราตัดสินใจใช้ถาดสีนี้ ก่อนที่เราจะได้อ่านคำนำนั้นเสียด้วยซ้ำ---ดำสำหรับค่ำคืน แดงสำหรับเลือด และทองสำหรับอำนาจ ซึ่งเราใช้อย่างมึนเมาในความดื่มด่ำในคาราวัจจิโอ ศิลปินบาร็อคบ้าเลือดที่เราคลั่งไคล้ในการออกแบบฉากและแสง (คาราวัจจิโอเกิดหลังเชคสเปียร์ไม่นาน การมองโลกที่เต็มไปด้วยเงามืดและแสงสว่าง เส้นคมชัด สีที่ชุ่มฉ่ำ เทคนิคที่เหนือมนุษย์ ทั้งสองท่านมีเหมือนกัน และเป็นที่รู้กันดีว่าคุณวิลเลี่ยมท่านหลงใหลอิตาลี ตามแฟนตาซีของคนที่ไม่เคยมีวาสนาไปอิตาลี แต่เอามาเป็นฉากตลอดเวลา)

หากว่าไร้อคติ คุณจะเห็นได้อย่างง่ายดายว่า กลุ่มอันธพาลที่คาดหัวด้วยผ้าแดงที่แท้ก็สวมเครื่องแบบลิเกนั่นเอง: หัวโพกผ้าแดงคือเพชฌฆาต ซึ่งน่าจะมาจากเหตุผลง่ายๆ ที่สมัยก่อนไม่นานมานี้ เพชฌฆาตไทยนั้นโพกผ้าแดงในการประหารชีวิตนักโทษ

ใน "เชคสเปียร์ต้องตาย" ฆาตกรในโลกของโรงละครในหลายฉากก่อนหน้านั้น รวมทั้งองค์พญายม ล้วนคาดหัวหรือคลุมหัวด้วยผ้าแดง แต่ในอีกฉากซึ่งเกิดขึ้นในโลกนอกโรงละคร เราใช้เครื่องแบบอีกประเภทสำหรับกลุ่มฆาตกรที่ฆ่าคุณหญิงเมฆดับ คือสูทเสื้อซาฟารีผ้าใยสังเคราะห์สีเทา, ดำ หรือน้ำเงิน ซึ่งเป็นชอร์ทแฮนด์ของไทยเราสำหรับลูกกะเป้ของผู้มีอิทธิพล นิยมสวมใส่โดยคนขับรถและมือปืนประจำตัวนักการเมือง เป็นต้น

*****************************************************

ต่อ ให้ไม่นับมรดกทางวัฒนธรรมอันนี้ต้องยอมรับว่าสีแดงเป็นสีสากลที่หมายถึง เลือดและความรุนแรงหนังแต่ละเรื่องต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะถึงจอกว่าจะเขียน บทกว่าจะหาทุนกว่าจะหานักแสดงครบ ทักษิณมีสิทธิผูกขาดการใช้สีแดงเช่นเดียวกับที่เขาต้องการผูกขาดทุกสิ่งทุกอย่าง…อย่างนั้นหรือ?

ใน การสร้างหนังผีเชคสเปียร์ของเราฉันปฏิเสธที่จะเล่นตามบทและกฎเกณฑ์ที่กำหนด ขึ้นโดยคนเขียนบทของทักษิณคุณอาจเลือกที่จะทำตามกติกาเหล่านั้นที่เขากำหนด ขึ้นมาลอยๆนั่นเป็นการตัดสินใจของคุณมันไม่ใช่เรื่องของฉัน(ถ้าโชคดีคุณอาจ ได้ประโยชน์จากมันก็เป็นได้ มีข่าวร่ำลือหนาหูในหมู่นักทำหนังว่า ทักษิณกำลังช็อปปิ้งหาผู้กำกับทำหนังชีวประวัติของเขา ซึ่งถ้าเกิดขึ้นจริง ย่อมไม่ใช่หนังทุนต่ำแน่นอน)

หากว่าความคิดเช่นนี้ทำให้ฉัน "ไม่เป็นประชาธิปไตย" และทำให้ยากลำบากในการนำ "เชคสเปียร์ต้องตาย" ออกมาสู่สายตาโลก มันก็ช่วยไม่ได้จริงๆ

ด้วยความนับถือ

สมานรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์

กทม., 19 มี.ค. 55

คุยกับ "มานิต ศรีวานิชภูมิ" โปรดิวเซอร์ "เชคสเปียร์ต้องตาย" ถ้าหนังไม่ได้ฉาย ผมยอมติดคุก!

0 comments  





วันที่ 05 เมษายน พ.ศ. 2555 เวลา 22:30:00 น.
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1333632164&grpid=01&catid=&subcatid=

เรื่อง...ณัฐกร เวียงอินทร์
หลังจากที่คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พิจารณาให้ภาพยนตร์เรื่อง "เชคสเปียร์ต้องตาย" (Shakespeare Must Die) ไม่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการฯให้เผยแพร่ภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยได้รับ "เรต ห"(ห้ามฉาย) หรือพูดง่ายๆ ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ถูก "แบน" ด้วยเหตุผลที่ว่า "มีเนื้อหาที่ก่อให้เกิดการแตกความสามัคคีระหว่างคนในชาติ"

ประเด็นนี้ก็ให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง ถึงเหตุผลที่ของการ "แบน" หนังเรื่องนี้ ว่าเอาเข้าจริงแล้ว เป็นเรื่องที่สมควรหรือไม่?(อ่านรายละเอียดของการ "แบน" ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ที่ลิ้งก์ข่าว คณะกรรมการเซ็นเซอร์สั่งแบน"เชคสเปียร์ต้องตาย"ติดเรท"ห้ามฉาย" เกรง"ก่อความขัดแย้งในชาติ" )

ทาง "มติชนออนไลน์" จึงติดต่อสัมภาษณ์ มานิต ศรีวานิชภูมิ ผู้อำนวยการสร้างของภาพยนตร์ไทยเรื่องนี้ เพื่อชี้แจงว่า ตกลงเกิดอะไรขึ้นกับภาพยนตร์ที่เขาสร้างขึ้นมา...

จุดเริ่มต้นของภาพยนตร์ "เชคสเปียร์ต้องตาย" จนมาถึงวันนี้ที่ภาพยนตร์โดน "แบน" มีเส้นทางเป็นอย่างไร?

"โครงการนี้เป็นโครงการของคุณสมานรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์(ผู้กำกับภาพยนตร์) เริ่มแปลบทประพันธ์มาตั้งแต่ปี 2551 แล้วพอมาถึงปี 2553 เราก็ได้ทำการผลิตโดยได้งบสนับสนุนจากโครงการไทยเข้มแข็ง ของกระทรวงวัฒนธรรม ในยุคของรัฐบาลอภิสิทธิ์ แล้วเราได้งบประมาณมา 3 ล้านบาท ส่วนงบประมาณที่ใช้จ่ายจริงก็ 6 ล้านกว่าบาท เราก็ทำมาเรื่อยๆ หนังใช้เวลาในการผลิตยาว กว่าจะเขียนบท จะถ่ายทำ ก็ใช้เวลาเป็นปี แล้วก็มาติดน้ำท่วมด้วย เลยเพิ่งจะมาเสร็จในช่วงมกราคม แล้วทำการยื่นให้กับคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์เพื่อตรวจอย่างที่เราทราบกัน แล้วก็ถูกแบน"

ที่ถูกแบนเพราะคณะกรรมการบอกว่า "มีเนื้อหาที่ก่อให้เกิดการแตกความสามัคคีระหว่างคนในชาติ" คุณมีความเห็นว่าอย่างไร?

"ก็เป็นเนื้อหาที่กว้างนะครับ เกิดความแตกสามัคคี ผมไม่แน่ใจว่า หนังเล็กๆ เรื่องหนึ่ง แล้วก็เป็นหนังผี หนัง Horror หนังสยองขวัญ จะทำให้ประเทศชาติแตกความสามัคคี เกี่ยวกับความมั่นคงได้อย่างไร ผมคิดว่า การตัดสินหรือการประเมินของคณะกรรมการออกจะเกินเลย ออกจะรุนแรงไป ผมไม่คิดว่าหนังของเราจะมีพลังได้ขนาดนั้น ผมคิดว่าอย่างกรณีของอาจารย์ธีรยุทธ บุญมี ไม่ต้องลงทุนอะไรมากเลยครับ แกใส่เสื้อกั๊กตัวหนึ่ง แล้วไปพูด ก็สะท้านสะเทือนบ้านเมือง แต่หนังของเรา กว่าจะลงทุน กว่าจะถ่ายทำ คือเราไม่ได้คาดหวังว่าจะมีผลสะเทือนอะไรเท่าไหร่ นี่คือสิ่งที่เราพยายามพูดคุยกับคณะกรรมการฯ ต้องดูเจตนารมณ์ของการทำหนังด้วย"

อยู่ในขั้นตอนการอุทธรณ์อยู่ใช่ไหม?

"ยังอุทธรณ์ได้ครับก็ภายใน 15 วัน ก็ตั้งใจว่าจะยื่นอุทธรณ์วันที่ 17 เมษายนนี้ ก็ใกล้จะลงตัว"

คณะกรรมการดู "เชคสเปียร์ต้องตาย" ถึงสามรอบ แล้วตอนนั้นเขามีความเห็นว่าอย่างไร?

"คือเวลาที่เราให้เหตุผลไป คณะกรรมการก็รับฟัง แล้วพอถามคณะกรรมการว่า ตกลงจะให้ทางทีมงานหรือว่าทางผม แก้ไขอะไร ก็ไม่ได้รับคำตอบ คณะกรรมการไม่สามารถบอกได้ว่าต้องแก้ไขอะไร ในฐานะคนสร้างก็สับสน ถ้าจะให้ถอนหนังออกไป เพื่อปรับปรุง ตามที่คณะกรรมการฯ แนะนำ ผมก็ไม่ทราบว่าจะให้ผมไปปรับปรุงอย่างไร? เพราะว่าไม่ได้ชี้ว่าจุดไหนจะต้องทำอะไร ผมก็เลยยืนยันไปว่า หนังของเราทำมาก็สมบูรณ์แล้ว ผ่านการคิด ไตร่ตรองอย่างดี ก่อนที่จะมาเป็นหนัง เพราะตัวหนัง ทั้งค่าใช้จ่ายต่างๆ ทั้งตัวผู้กำกับเอง ทีมงานทำกันอย่างเต็มที่ ถ้าจะไม่ชี้แจงให้ชัดเจนว่าตรงไหนต้องปรับปรุง เราก็ไม่สามารถจะรับความเห็นนั้นได้ ทีนี้พอมามีคำวินิจฉัยแบบนี้ มันครอบจักรวาลมาก คือโดยสรุป ผมคิดว่าคณะกรรมการก็คงเห็นว่า เรื่องนี้มีปัญหาทั้งเรื่อง ไม่ใช่ฉากใดฉากหนึ่ง

"ซึ่งผมคิดว่า ถ้าอย่างนั้น มันก็เป็นประเด็นแล้วครับ เป็นเรื่องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เสรีภาพในการแสดงออกในงานศิลปะ โดยเฉพาะสื่อภาพยนตร์ ผมว่า ณ เวลานี้ สื่อภาพยนตร์เป็นสื่อที่ถูกจำกัดสิทธิมากที่สุด เพราะสามารถที่จะถูกแบนได้ สื่อทีวี สื่อหนังสือพิมพ์ สื่ออื่นๆ ยังมีเสรีภาพมากกว่า คุณมีโซเชียลมีเดีย มีอะไร คุณยังสามารถถล่มได้เต็มที่ แต่ภาพยนตร์ ไม่สามารถเสนออะไรได้เลย ณ ขณะนี้"

ในวันที่มีการอุทธรณ์ ร้องเรียนอย่างไรบ้าง?

"คือเราต้องชี้แจงความเห็นคัดค้านคำสั่งที่เราเห็นว่าครอบจักรวาลแล้วก็ไม่มีความชัดเจน เวลาให้คำวินิจฉัยแบบนี้ คือผมไม่รู้ไงว่ามันเป็นเหตุผลที่เรารับได้ไหม ที่ว่าก่อให้เกิดการแตกความสามัคคีของคนในชาติ ตรงไหนที่ชี้ว่ามันจะทำให้เกิดการแตกความสามัคคีของคนในชาติ? กรรมการต้องชี้ให้ได้ เราต้องชี้แจงความเห็นของเราที่ไม่เห็นด้วยกับความเห็นของคณะกรรมการ อาจจะตีความว่า เป็นเครื่องมือก็ได้ เรื่องนี้เท่ากับแบนหนังทั้งเรื่องนะครับ ไม่ได้ห้ามฉากใดฉากหนึ่ง โดยสรุปรวม ผมเข้าใจว่า กรรมการคงมีปัญหากับตัวหนัง ไม่ใช่ฉากใดฉากหนึ่ง

"อันนี้เราเห็นได้ชัด จากครั้งแรกเลย เมื่อคณะกรรมการได้ดู เขาแสดงความหนักใจออกมา แล้วคณะกรรมการก็สะท้อนความหนักใจให้เห็น ผมคิดว่าคณะกรรมการก็มีความกลัวอยู่ อันนี้ผมคงไม่ได้พูดอะไรที่เกินเลย อันนี้คือสิ่งที่เราคิดว่า บ้านเมืองอยู่ในภาวะของความกลัว คือ ไม่ทราบว่ากลัวอะไรกันบ้าง แล้วพูดถึงเรื่องการปรองดอง ว่าสถานการณ์บ้านเมืองของเราต้องการการปรองดอง อย่างที่ผมบอกนะครับ ไม่ทราบว่าหนังเรื่องนี้จะสร้างความแตกแยกตรงไหน? ก็ไม่สามารถที่จะชี้ชัดลงไปได้ถ้าหนังจะไปกระทบกระเทือนกลุ่มบุคคลหรือคนใด ก็เป็นบุคคล แล้วก็ไม่มีกฎหมายห้าม"

ก่อนที่จะมีปัญหานี้ ดูเหมือนว่า "เชคสเปียร์ต้องตาย" ก็วุ่นในการหาโรงฉายอยู่?

"เราก็หาโรงฉายนะครับ ก็มีโรงหนังที่เขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจ ก็อยากให้เราไปผ่านเซ็นเซอร์ก่อน เพราะฉะนั้น การผ่านเซ็นเซอร์ก็จะเป็นตัวหนึ่งที่ทำให้โรงหนังเขาสบายใจ โรงหนังก็มีไม่เยอะ รอบก็จำกัด จริงๆ หนังเรื่องนี้ ถ้าปล่อยฉายไปตามปกติ ก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร อาจจะขายได้ไม่ถึงอาทิตย์ก็คงต้องออก เพราะไม่สามารถที่จะทำเงิน หรือมีผู้ชมได้ ซึ่งผมก็ชี้แจงกับคณะกรรมการฯเหมือนกันว่า ถ้าปล่อยออกไปก็คงไม่มีปัญหา แต่ถ้าท่านแบน มันจะกลายเป็นปัญหา เป็นข่าวไปทั่วโลก ซึ่งในตอนนี้เป็นข่าวไปทั่วโลกแล้ว เพราะว่าเท่ากับท่านแบนเชคสเปียร์ด้วย เพราะเรื่องทั้งหมดในภาพยนตร์มาจากเรื่อง แม็คเบ็ธ บทประพันธ์ของเชคสเปียร์ ก็มีส่วนที่เราเสริมเติมเข้าไป ที่ดึงสู่โลกปัจจุบัน เพราะว่า ถ้าเราเล่าถึงเชคสเปียร์ในแบบเก่า โบราณเลย คนไทยที่ดูหนังก็จะไม่ค่อยอิน เพราะฉะนั้น เราเลยอยากให้ร่วมสมัยกับเราด้วย มันไม่ใช่ละครเก่าหรืออะไร"

เราได้เงินทำหนังส่วนหนึ่งจากรัฐ(ทุนไทยเข้มแข็ง) แต่เราถูกแบนหนังจากรัฐเช่นกัน รู้สึกย้อนแย้งกับประเด็นนี้ไหม?

"คือตอนที่ขอทุนกับรัฐบาลของอภิสิทธิ์ในปี 2553 กว่าจะได้เงิน เราก็ต้องพิสูจน์นะครับ คือเราทำบทย่อให้ดู พอถ่ายแล้วต้องให้ดูว่าฉากที่ถ่ายไปว่า ไม่มีปัญหาในข้อสงสัย ไม่ว่าจะเป็นคำถามที่มีต่อฉากการปลงพระชนม์พระราชา ซึ่งมีคนพยายามพูดไปทางว่า เราเนี่ยสื่อนัยยะอะไร? ซึ่งเราก็ยืนยันว่า เราไม่มีฉากแบบนั้น เพราะว่าเรายึดตามต้นฉบับของเชคสเปียร์ ซึ่งก็ไม่มี จนกระทั่งก็มีมติอนุมัติในสมัยนั้นนะครับ แต่กว่าที่เราจะมาเสร็จ เรามาเสร็จในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ แต่ทีนี้ สถานการณ์ทางการเมืองอาจจะเปลี่ยน อันนี้เราคงจะปฏิเสธไม่ได้ ทางคณะกรรมการฯ เอง เมื่อดูหนังแล้ว ก็คงคิดถึงในบริบทของ ณ วันนี้ ซึ่งแตกต่างจากสมัยคุณอภิสิทธิ์ คงจะเกิดความกังวลและความหนักใจ อาจจะกลัวอะไรบางอย่างก็ไม่ทราบ ซึ่งผมก็พยายามชี้แจงครับว่า กระบวนการการตัดสินอะไรก็แล้วแต่ ถ้าท่านยังอยู่ภายใต้อิทธิพลความกลัว หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ท่านหวั่นเกรง ภายในจิตใจของท่าน ท่านไม่สามารถหยิบยื่นความยุติธรรมให้กับใครได้ อันนี้คือสิ่งที่ผมได้คุยกับทางคณะกรรมการฯ"

แล้วกรณีบางฉากในหนังที่ทำให้หลายคนนึกถึงเหตุการณ์ความรุนแรงในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 เราต้องการสื่อสารอะไรกับคนดู?

"คือการที่เราใช้ฉากเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ จากภาพข่าว มาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้าง เราต้องการให้คนได้กลับไปนึกถึงการที่ครั้งหนึ่ง บ้านเมืองของเราประสบวิกฤตแบบนี้ ประชาชนลุกขึ้นฆ่ากันเอง ตรงนี้เราต้องการสะกิดให้คนได้คิด แล้วโดยเฉพาะในหนัง การถ่ายทำไม่ได้เน้นไปที่ผู้ที่ลงมือฆ่า หรือคนที่ถูกฆ่า แต่เราเน้นผู้ที่เป็นไทยมุง ที่กล้องไปถ่ายให้เห็นผู้ที่ยืนชมความรุนแรงแล้วปล่อยให้มันเกิดขึ้น อันนี้คือสิ่งที่เราอยากให้คนได้คิดในหนัง

"สาระสำคัญของหนังก็คือ เราต้องการให้คนทุกคนกลับมาสำรวจตัวเอง หนังไม่ได้พูดถึงเรื่องของอุดมการณ์การเมือง หรือเรื่องอะไร แต่พูดกลับไปสู่พื้นฐานที่สุดของมนุษย์ คือ รัก โลภ โกรธ หลง ความโลภ ความบ้าอำนาจ ความมักใหญ่ใฝ่สูง มันนำมาสู่โศกนาฏกรรม อันนี้คือสิ่งที่เราจะบอก เพราะฉะนั้น การที่เราใส่เหตุการณ์เหล่านั้น การเลียน หรือว่าการสร้างความคล้ายคลึง มันเพียงให้เราต้องคิด แล้วการที่จะมาบอกไม่ให้เราใช้ มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ คุณไม่ใช่เจ้าของประวัติศาสตร์เพียงคนเดียว ประวัติศาสตร์เป็นของทุกคน แล้วทุกคนมีสิทธิที่จะตั้งคำถาม หรือนำประวัติศาสตร์เหล่านั้นมาใช้เพื่อเป็นบทเรียน ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ทางการเมือง

"แล้วเราไม่มีแนวนโยบายหรือแนวคิดการเมืองอะไรทั้งสิ้นที่ใส่ลงในหนังเราไม่ได้บอกว่าเราต้องเปลี่ยนแปลงการปกครอง เราพูดอย่างเดียวว่า กลับเข้ามาสู่ความเป็นมนุษย์ มนุษย์คือต้นเหตุของปัญหา ต้องกลับไปดูที่ตรงนั้น เพราะฉะนั้น อย่าพยายามบิดเบือนให้หนังไปปลุกระดม ทำโน่นทำนี่ ไปหมิ่นคนนั้นคนนี้ แต่หนังกำลังพูดว่านี่คือปัญหารากเหง้า ไม่ว่าการปกครองจะเป็นรูปแบบไหน จะเป็นประชาธิปไตยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หรือจะเป็นสาธารณรัฐ ประชาชนก็ยังเป็นมนุษย์อยู่นั่นแหล่ะ ยังรัก โลภ โกรธ หลง บ้านเมืองจึงปั่นป่วน อันนี้คือสิ่งที่เราอยากจะบอก แล้วสิ่งที่น่าเศร้าก็คือ การต่อสู้แย่งชิงอำนาจ ไม่ว่าจะฝ่ายไหนก็แล้วแต่ ในท้ายที่สุด ประชาชนนั่นแหละครับคือ เหยื่อ คือผู้ที่ถูกปลุกปั่นให้มาฆ่ากันเอง และนั่นคือฉากที่เราได้เห็นในเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ นั้น นี่คือสิ่งที่เราจะบอก"

พอจะพูดได้เต็มปากไหมว่า หนังเรื่องนี้ไม่ได้สังกัดสีเสื้อการเมืองใด?

"ไม่มีหรอกครับ ผมไม่ได้สังกัดสีเสื้ออะไรทั้งสิ้น ผมสังกัดตัวของผมเอง ผมคิดว่าเรายึดที่มนุษย์นี่แหละครับ อย่างที่ผมบอก ในท้ายที่สุดไม่ว่าคุณจะมีความเชื่ออะไรมากมาย แต่กลับมาที่ที่ตัวคุณเองนั่นแหละ เรา (ในฐานะมนุษย์) ยังเป็นปัญหาอยู่"

บทละคร แม็คเบ็ธ ครั้งหนึ่งเคยถูกนำมาถ่ายทอดเป็นละครเวทีโดยคณะอักษรฯ จุฬาฯ เมื่อปีพ.ศ.2554 เวอร์ชั่นนั้น ต่างจาก "เชคสเปียร์ต้องตาย" ที่คุณอำนวยการสร้าง อย่างไรบ้าง?

"คือของจุฬาฯการนำเสนอก็จะเป็นแบบเก่า พยายามที่จะให้ได้ครบตามต้นฉบับของเชคสเปียร์ แต่ของเรา เนื่องจากเราทำเป็นภาพยนตร์ แล้วเราอยากให้เรื่องราวขยับเข้ามาใกล้ตัวเรามากขึ้น แม้ประเทศที่ตั้งขึ้น จะเป็นประเทศที่เราสมมติก็แล้วแต่ เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าหนังเรื่องนี้จะมีปัญหาเรื่องการเซ็นเซอร์ เราสร้างประเทศเป็นประเทศสมมติ ตัวละครก็ตัวละครสมมติ ซึ่งเราก็รู้ว่า เราไม่อยากมีปัญหา

"ขนาดเราเลี่ยงขนาดนี้แล้ว คือผมไม่เข้าใจ จะให้เราทำอย่างไรครับ? แม้กระทั่ง โอเค คณะกรรมการยอมรับได้ที่จะพูดภาษาไทย เพราะเราสื่อกับคนไทย แต่คณะกรรมการบางท่านก็มีคอมเมนต์ว่า โปสเตอร์ที่อยู่ข้างหลังภาพประท้วง ทำไมใช้ตัวอักษรไทย คือผมไม่รู้ว่าแบบนี้ผมจะตอบคำถามนี้ได้อย่างไร(หัวเราะ) ผมจะพูดได้อย่างไรล่ะครับ เพราะหนังเรื่องนี้ทำให้คนไทยดู แล้วเราก็นำบทประพันธ์ของเชคสเปียร์มาเพราะว่า บทประพันธ์ของเชคสเปียร์เขียนเมื่อ 400 ปีที่แล้ว แต่ก็ยังร่วมสมัยกับเรา ทำไมเราไม่ตั้งคำถามล่ะครับ อะไรคือความร่วมสมัยของเชคสเปียร์ แสดงว่ามนุษย์ใน 400 ปีที่แล้วของเชคสเปียร์ แม้จะต่างชาติ ต่างเผ่าพันธุ์ ก็ยังเป็นมนุษย์ ปัญหารากเหง้าของมนุษย์ยังเป็นแบบเดิม"


ชะตากรรมของ “เชคสเปียร์ต้องตาย” จะเป็นแบบเดียวกับภาพยนตร์ "Insects in the Backyard" ซึ่งกำกับโดย "ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์" หรือไม่ ตรงที่ว่าหนังไม่ได้ฉายในไทย แต่ต้องไปฉายที่ต่างประเทศแทน?

"ก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้า ถ้าหนังเรื่องนี้จะไม่ได้ฉายให้คนไทยได้ดู เป็นความตั้งใจที่เราจะสร้างหนังเรื่องนี้ให้คนไทยได้ดู ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้ ถ้าไม่ได้ฉาย มันก็เป็นหลักประจานประชาธิปไตยของประเทศนี้ ว่าประเทศนี้ไม่มีหรอกครับเสรีภาพที่คุณเรียกร้อง เสรีภาพกันต่างๆ นานา เราไม่มีหรอก อย่าหลอกตัวเอง ณ ขณะนี้เราไม่มีเสรีภาพ หนังเรื่องหนึ่งยังต้องถูกแบน ผมคิดว่า ถ้าหนังเรื่องนี้ เกิดไม่ผ่านขึ้นมาจริงๆ ผมอาจจะไปติดคุกให้ก็ได้ เพื่อที่จะให้เห็นว่า แทนที่เราจะเดินบนท้องถนนที่คิดว่ามีเสรีภาพ สู้ผมไปติดคุกดีกว่า จะได้เห็นกันว่า มนุษย์เราไม่มีเสรีภาพ"

แล้วมีสายต่างหนังประเทศติดต่อมาบ้างไหม?

"มีกระแสพอสมควรที่ต่างชาติสนใจนำหนังไปฉายแต่ไม่ใช่เป้าหมายหลัก คือทำเราทำหนังให้คนไทยดู เราไม่ได้ทำหนังเพื่อโปรโมตความดังของตัวผู้กำกับ ผู้สร้าง นั่นไม่ใช่สาระและไม่ใช่เป้าหมายของผู้กำกับ"

ฟีดแบ็กให้กำลังใจจากผู้คนทั่วไปเป็นอย่างไรบ้าง?

"ผมคิดว่าคนทุกกลุ่ม ทุกสี เขาไม่เห็นด้วยกับการแบนหนังเรื่องนี้ เพราะว่าถ้าคุณเชื่อในประชาธิปไตย การแบนหนังไม่เป็นประชาธิปไตยในตัวมันเองอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ผมอยากเรียกร้องให้คณะกรรมการกลับไปพิจารณาให้ดี แล้วในขั้นอุทธรณ์ ยังมีโอกาสที่จะทำผิดให้ถูกได้ ผมคิดว่าเสียงของประชาชนที่เราได้ยินสะท้อนออกมาแรงมากว่าไม่เห็นด้วยกับการแบน ไม่ว่าคนกลุ่มนั้นจะเป็นคนกลุ่มเสื้อแดงที่รู้สึกว่าหนังอาจจะหมิ่นเหม่ที่จะไปพูดถึงคนเหล่านั้น เขาก็ไม่เห็นด้วยกับการแบนหนัง เพราะว่าเป็นการปิดกั้นเสรีภาพที่เขาจะมีโอกาสได้ดูหนังเรื่องนั้น ซึ่งเขาสามารถที่จะใช้วิจารณญาณของเขาเองในการไปดูว่าหนังเรื่องนี้ ดี มีคุณค่า หรือไม่มีราคาอย่างที่เขาต่อว่า ก็เป็นเรื่องที่เขาจะตัดสินเอง แต่คณะกรรมการไม่ควรจะลิดรอนสิทธิ์ของเขาโดยการแบนหนัง แล้วเราจะอยู่ในประเทศที่ผู้คนพากันกลัวได้อย่างไร? จะเรียกว่าเป็นประชาธิปไตยได้ไหม? สิ่งที่น่ากลัวก็คือ ตอนนี้กำลังจะมีความกลัวเกิดขึ้น ซึ่งไม่ต่างกับการปกครองภายใต้เผด็จการ ผมอยากจะบอกว่า ถ้าท่านเป็นประชาธิปไตย เราไม่ควรจะมีความกลัวแบบนั้น"

(ดูฟีดแบ็กของเสียงคัดค้านการแบนภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ที่ลิ้งก์ข่าว ประมวลเสียงคัดค้านหลังหนังไทย "เชคสเปียร์ต้องตาย" ถูกคำสั่ง "ห้ามฉาย" )

ภาพยนตร์ก่อนหน้าที่คุณทำ คือ "พลเมืองจูหลิง"(พ.ศ. 2551) ที่วิพากษ์เหตุการณ์ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆนับตั้งแต่ปี พ.ศ.2547 จนมาถึงวันนี้ การสร้างภาพยนตร์ "เชคสเปียร์ต้องตาย" คุณมีมุมมองทางสังคมเปลี่ยนไปหรือไม่?

"คือทั้งผมทั้งผู้กำกับหนัง (สมานรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์) มุมมองก็ไม่ได้เปลี่ยน ก็ยังคงเส้นคงวา เราต่อสู้กับความอยุติธรรม ต่อสู้กับการกดขี่ข่มเหง ไม่ว่าจะมาในรูปแบบไหน การละเมิดอำนาจ การทำร้ายผู้คน การเข่นฆ่าผู้คนที่ผ่านๆ มา เราต่อต้านสิ่งเหล่านั้น"

ภาพจากภาพยนตร์ "เชคสเปียร์ต้องตาย"

เห็นชื่อหนังแล้ว น่าสนใจว่า ในสังคมไทย อะไรต้องตายก่อน?

"เสรีภาพไงครับ ตายก่อนเป็นอันดับแรก แค่หนังผมก็เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนแล้วครับ หนังถูกแบน อันนี้ชัด ถ้ามีเสรีภาพ ก็ไม่ต้องมาประท้วง ไม่ต้องมาที่จะพูดในเรื่องนี้ ก็พิสูจน์ให้เห็นสิครับว่าสังคมนี้มีเสรีภาพภายใต้รัฐบาลนี้ที่ชูธงเรื่องประชาธิปไตย พิสูจน์ให้เห็นสิครับ แต่สิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะการแบนหนังทำให้เห็นว่า มันไม่จริงหรอก ว่าภายใต้รัฐบาลนี้มีเสรีภาพ เพราะหนังเล็กๆ ของเรายังถูกแบน

คุณมองว่าการต่อสู้ในเรื่องการที่ภาพยนตร์ไทยถูกเซ็นเซอร์และแบน ในยุคหลังอย่างกรณี "แสงศตวรรษ" (พ.ศ.2549) ของอภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล, "Insects in the Backyard" (พ.ศ. 2553) ของ ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ จนมาถึงภาพยนตร์ของคุณเอง มีการเคลื่อนไหวที่น่าสนใจอย่างไร?

"จริงๆ เรื่องการแบนหนัง คุณสมานรัชฎ์เคยถูกแบนมาครั้งหนึ่งแล้ว เรื่อง ′คนกราบหมา′ เมื่อ 15 ปีที่แล้ว เราต้องไม่ลืมนะครับ อันนั้น โดนแบนในกฎหมายฉบับเก่า ทีนี้ ณ วันนี้ คุณสมานรัชฎ์ โดนรอบที่สอง พูดง่ายๆ เลย ในประวัติศาสตร์หนังไทย คุณสมานรัชฎ์เป็นคนแรกๆ เลยที่สร้างสถิติถูกแบนแบบนี้ แล้วก็ใน 15 ปีที่แล้วก็เป็นรัฐบาลของประชาธิปัตย์ เพราะฉะนั้น จะมาบอกว่า รัฐบาลของประชาธิปัตย์อยู่เบื้องหลังหนังเรื่องนี้ (เชคสเปียร์ต้องตาย) โปรดลบความคิดนั้นทิ้ง อย่ามาใส่ร้ายกันอย่างนั้น แล้วครั้งนี้ เป็นรัฐบาลเพื่อไทยของยิ่งลักษณ์ เพราะฉะนั้น หนังเราไม่เกี่ยวกับรัฐบาลไหน หนังอะไรก็ตามที่พูดความจริง ไม่ว่ากี่ยุคกี่สมัย รัฐบาลมักจะกลัว แล้วหนังของเราพูดสิ่งนี้ แล้วรัฐบาลก็กลัว ก็ต้องแบนหนังเรื่องนี้ นี่คือสิ่งที่เราเป็นอยู่ วันนี้"

ความจริงก็ตายตามไปด้วย?

"ก็เป็นเรื่องน่าเศร้า ในสังคมไทย ที่ความจริงต้องตาย แล้วไม่มีใครต้องการความจริง ทุกคนกำลังหลงระเริงกับคำตกแต่ง ป้อยอ หลอกลวง คำเท็จ"

ทางสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย เห็นว่าอย่างไร?

"ก็คุยกันอยู่ คุณกอล์ฟ (ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ นายกสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทยคนปัจจุบัน) น่ารักมากครับ แกเคยประสบชะตากรรมที่โดนกับตัวเอง ภาพยนตร์เรื่อง ′Insects in the Backyard′ ของเขา เรื่องราวยังไม่จบยังอยู่ในชั้นพิจารณาของศาล เพราะฉะนั้น ผมคิดว่ากระทบทุกคนไม่ใช่หนังเรื่องใดเรื่องหนึ่งในอุตสาหกรรม แล้วผมกำลังคิดว่า คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์ อาจจะเป็นอุปสรรคต่อความคิดสร้างสรรค์ของการสร้างหนังไทยด้วยซ้ำ เพราะทำให้เราเห็นว่าหนังไทยมันถูกผลิตออกมาในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งเป็นการเฉพาะ เพราะว่าหนังเรื่องใดที่แตกออกไป ก็จะถูกคณะกรรมการฯไม่อนุญาต คณะกรรมการฯ ควรปรับทัศนคติ มีความใจกว้าง และต้องปรับเปลี่ยนไปตามความเปลี่ยนแปลงของโลก และเปิดเสรีภาพให้กับประชาชน ไม่ควรคิดว่าตัวเองรู้ดีกว่าผู้ชม"


ท้ายที่สุดอยากฝากประเด็นใดไว้ ณ พื้นที่ตรงนี้?

"ทางหนังอยากเชิญชวนคนคัดค้านการแบนหนังเรื่องนี้ เราจะเปิดโอกาสให้ผู้ที่เห็นด้วยกับการที่เราจะคัดค้าน เรากำลังล่ารายชื่อแล้วยื่นไปที่นายกฯ ก็เข้าร่วมได้ที่เว็บไซต์ของหนัง(www.shakespearemustdie.com) หรือเพจเฟซบุ๊คของหนัง ที่ใช้ชื่อว่า Shakespeare Must Die รับข่าวสารตรงนั้นได้ เราพยายามจะให้ทุกคนมีส่วนร่วม เพราะว่าการต่อสู้เพื่อหนังเรื่องนิ้ ไม่ใช่เพื่อเราคนเดียว มันเป็นเรื่องสิทธิเสรีภาพของทุกคน พอหนังถูกแบน ทุกคนก็ถูกลิดรอนสิทธิในการดูเหมือนกัน คณะกรรมการเซ็นเซอร์ปฏิบัติกับพวกประชาชนเหมือนกับพวกเขาไม่สามารถคิดเองได้ บางส่วนในคณะกรรมการเซ็นเซอร์ บางท่านก็พูดว่า เขาไม่เชื่อหรอกว่า คนไทยจะสามารถแยกระหว่างหนังกับโลกความเป็นจริงออกจากกันได้ คุณคิดว่า คำพูดนี้สำหรับคุณ คุณรับได้ไหม? เพราะฉะนั้น เมื่อท่านไม่เห็นด้วยกับการแบนหนังเพราะมันลิดรอนสิทธิของท่าน ก็ขอให้มาร่วมกับผมประท้วงการแบน ซึ่งต่อไปจะได้ไม่มีการแบนหนัง แล้วอยากให้หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้ายที่ถูกแบนครับ"



เปิดคำพูดแก้ต่างที่ผกก. "เชคสเปียร์ต้องตาย" กล่าวกับกองเซ็นเซอร์ ก่อนหนังถูก "ห้ามฉาย"

0 comments  

มติชน
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1333636562&grpid=03&catid=&subcatid=


วันที่ 05 เมษายน พ.ศ. 2555 เวลา 21:37:00 น.

เมื่อวันที่ 5 เมษายน www.shakespearemustdie.com ได้เผยแพร่คำพูดที่ "สมานรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์" ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง "เชคสเปียร์ต้องตาย" กล่าวกับคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ คณะ 3 เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2555 ก่อนที่หนังจะได้รับเรต "ห" หรือ "ห้ามเผยแพร่ในราชอาณาจักร" ดังมีเนื้อหาต่อไปนี้


คำพูดแก้ต่างให้ ′เชคสเปียร์ต้องตาย′ ที่ผู้กำกับพูดกับกองเซ็นเซอร์ วันที่ 3 เมษา 55


ดิฉันไม่ได้ทำหนังเชคสเปียร์เพื่อความโก้เก๋ เพราะเห่อฝรั่ง เชคสเปียร์ไม่ใช่กวีเอกของอังกฤษเท่านั้น แต่เป็นกวีเอกของโลกคนหนึ่ง ผลงานของเชคสเปียร์คือมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่า ซึ่งสอนให้คนรู้จักที่จะวิเคราะห์ตนเองและผู้อื่น อยากถามว่า เพราะเหตุใด คนไทยจึงไม่มีสิทธิรับมรดกอันล้ำค่านี้? มรดกที่คนชาติอื่นๆ ทั่วโลกเขาได้รับคุณประโยชน์กันมาเป็นร้อยๆ ปีแล้ว จะมีอีกกี่ครั้งที่จะมีคนไทยลุกขึ้นมาสร้างหนังจากละครเชคสเปียร์? เรื่องนี้เป็นเรื่องแรก และอาจเป็นเรื่องสุดท้าย


คนไทยเปิดรับวัฒนธรรมตะวันตกส่วนที่ไร้คุณ ประโยชน์ก็มากมาย ส่วนที่เป็นพิษภัยก็มากมาย ทั้งส่วนที่เป็นเพียงขนมขบเคี้ยวและที่เป็นยาพิษก็มากมาย แล้วทำไมเราจึงเปิดรับวัฒนธรรมส่วนที่เป็นกะทิของเขาไม่ได้ – ส่วนที่เป็นยาวิเศษ เป็นวิตามิน ที่สร้างภูมิต้านทานทางวัฒนธรรมให้สาธารณชน ส่วนที่ทำให้เขากลายเป็นประเทศมหาอำนาจ ในขณะที่เรายังล้มลุกคลุกคลาน? ท่านนึกภาพอังกฤษที่ไม่เคยมีเชคสเปียร์ได้หรือไม่? ทำไมเราจึงต้อนรับเฉพาะวัฒนธรรมขยะของเขา และกีดกันสิ่งที่ดีที่สุดของเขา?


เราพูดกันตลอดเวลา ว่าเราเป็นห่วงคุณภาพของคนไทยที่นับวันยิ่งโง่ ไอคิวเด็กไทยต่ำลงทุกครั้งที่สำรวจ จนต่ำกว่าระดับเฉลี่ยของโลกไปแล้ว รัฐบาลไทยทำสิ่งที่ถูกต้องเมื่อให้ทุนสร้างภาพยนตร์ที่มีคุณค่าด้วยโครงการ ทุนไทยเข้มแข็ง พวกท่านได้รับคำชมเชยมากมายจากผู้คนในเรื่องนี้ นับเป็นย่างก้าวไปข้างหน้าที่สวยงาม แล้วทำไม แทนที่จะเดินหน้าต่อไป ท่านกลับหันหลังลงคลอง เพื่ออะไร?

ไม่ว่าพรรคใดจะเป็นผู้มีอำนาจ ส่วนอื่นๆ ของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการประจำ เป็นหมอ เป็นนักธุรกิจ ครูอาจารย์ หรือศิลปิน ล้วนยังต้องทำหน้าที่ของตนด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม ต่อตัวเอง และลูกหลานสืบไป แผ่นดินของเราต้องดำรงอยู่ ซึ่งจะดำรงอยู่ได้ก็ด้วยคุณธรรมเท่านั้นเองจริงๆ ดิฉันเชื่อว่า การตัดสินใจของท่านในวันนี้ จะตามสิงสู่จิตสำนึกของท่านไปตลอดชีวิต ในวันที่เราไม่มีแผ่นดินจะอยู่ ขอให้ท่านนึกถึงวันนี้ - - วันที่ท่านตัดสินใจไม่ทำหน้าที่ของท่านด้วยความกล้าหาญทางจริยธรรม ด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างแท้จริง และปล่อยให้ความกลัวครอบงำตัวท่าน และคืบคลานเข้ากลืนพื้นที่สาธารณะทางสื่อจนหมดสิ้นไป ไม่เหลือพื้นที่หรืออากาศให้เราหายใจกันได้อีกเลย

คณะกรรมการเซ็นเซอร์สั่งแบน"เชคสเปียร์ต้องตาย" ติดเรท"ห้ามฉาย" เกรง"ก่อความขัดแย้งในชาติ"

4.12.2010

0 comments  

มติชนออนไลน์
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1333445431&grpid&catid=08&subcatid=0801






นี่อาจเป็นข่าวร้ายสำหรับวงการภาพยนตร์ไทยอีกครั้ง จากเหตุการณ์เมื่อปี 2553 คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวิดิทัศน์ พิจารณาไม่ผ่านและไม่อนุญาตให้ฉายภาพยนตร์เรื่อง "Insects in the Backyard" ซึ่งกำกับโดย "ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์" เพราะมีเนื้อหาขัดต่อมาตรา 29 ในพ.ร.บ.ภาพยนตร์ พ.ศ. 2551

ด้วยเหตุผลที่ว่าหนังมีเนื้อหาทำลายและขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรืออาจกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของรัฐและเกียรติภูมิของประเทศไทย เช่นบางฉากมีภาพลามกอนาจาร จึงมีความเห็นว่าไม่อนุญาตให้ฉาย
ผ่านมาเกือบ 2 ปี ปัญหาเก่าที่ยังค้างคาใจหลายๆคน ยังไม่ทันจางไปจากความทรงจำของคนดูหนัง ปัญหาที่ยังคงมีการถกเถียงก็เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง


ในวันนี้ (3 เม.ย.) ทีมงานผู้ผลิตได้ออกมาเปิดเผยทางเฟซบุ๊กว่าภาพยนตร์เรื่อง "เชคสเปียร์ต้องตาย" (ShakespeareMustDie) ไม่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการฯให้เผยแพร่ภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งก็คือการได้รับ "เรต ห" หรือ"ห้ามฉาย" นั่นเอง

โดยทีมงานเขียนผ่านสเตตัสว่า "หนังเรื่องนี้ ไม่ได้รับความเห็นชอบ "ให้ฉาย" จากกรรมการเซ็นเซอร์ จำนวน 7 คนเพราะเกรงว่าคนดูจะแยกไม่ได้ว่า อันไหน "เรื่องจริง" หรือ "เรื่องแต่ง" ก่อนที่จะระบุว่า "เราไม่ได้รับอนุญาต ให้ฉายในราชอาณาจักรไทย" และกล่าวยืนยันว่า "นี่คือ บทหนังที่ถอดมาจาก บทประพันธ์ของเชคสเปียร์ ตัวต่อตัว คำต่อคำ"


ต่อมาเว็บไซต์ shakespearemustdie.com ได้ เผยแพร่บันทึกการตรวจพิจารณาภาพยนตร์เรื่อง "เชคสเปียร์ต้องตาย" ซึ่งกรรมการ 4 คนจากคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ คณะที่ 3 ที่ลงนามในมติห้ามเผยแพร่หนังเรื่องนี้ในราชอาณาจักร เพราะมีเนื้อหาก่อให้เกิดการแตกสามัคคีระหว่างคนในชาติ ประกอบไปด้วย พล.ต.ต.เอนก สัมพลัง ประธานคณะกรรมการ, นายเขมชาติ เทพไชย กรรมการ, นายวีระชัพ ทรัพยวณิช กรรมการ และนายมานิตย์ ชัยมงคล กรรมการและเลขานุการ ขณะที่กรรมการอีก 3 ราย ที่ไม่ได้ลงนามในมติดังกล่าว ได้แก่ นางสุวณา สุวรรณจูฑะ, นายอนุชา ทีรคานนท์ และนายสามารถ จันทร์สูรย์


ทั้งนี้ เฟซบุ๊ก Bioscope Magazine ได้ตัดทอนข้อความตามเอกสารการพิจารณาบางส่วนมาเผยแพร่ดังนี้

วาระการพิจารณา:

คณะกรรมการฯ พิจารณาเห็นว่า ภาพยนตร์เรื่อง เชคสเปียร์ต้องตาย (SHAKESPEARE MUST DIE) มีเนื้อหาที่ก่อให้เกิดการแตกความสามัคคีระหว่างคนในชาติ ตามกฏกระทรวงกำหนดลักษณะของประเภทภาพยนตร์ พ.ศ.๒๕๕๒ ข้อ ๗ (๓)

จึงมีมติ ไม่อนุญาต โดยจัดเป็นประเภทภาพยนตร์ที่ห้ามเผยแพร่ในราชอาณาจักร ตามมาตรา ๒๖ (๗) แห่งพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. ๒๕๕๑


โดยในเว็บไซต์ของภาพยนตร์กล่าวอย่างเด่นชัดว่า"ภาพยนตร์ ขนาดยาว เนื้อหาอิงจากบทประพันธ์ของวิลเลียม เชคสเปียร์ นักประพันธ์เอกของโลก ถ่ายทอดในรูปแบบภาพยนตร์ โดยถอดความหมาย "คำต่อคำ" เพื่อคงความสวยงามของภาษากวีโดยใช้ภาษาไทย นับเป็นภาพยนตร์เชคสเปียร์ไทยเรื่องแรก"
รายงานข่าวระบุว่า หลังจากส่งหนังเพื่อให้คณะกรรมการพิจารณาจัดเรตติ้ง ไปตั้งแต่วันพุธที่แล้ว (28 มี.ค.) จนกระทั่งวานนี้ (2 เม.ย.) คณะกรรมการพิจารณาฯ ดูหนังไปแล้วถึงสามรอบ แต่ก็ยังไม่สามารถพิจารณาได้ ขณะที่ผู้สร้างก็ไม่ยอมตัดทอนส่วนใดส่วนหนึ่งออกจากหนัง



นี่อาจเป็นข่าวร้ายสำหรับวงการภาพยนตร์ไทยอีก ครั้ง จากเหตุการณ์เมื่อปี 2553 คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวิดิทัศน์ พิจารณาไม่ผ่านและไม่อนุญาตให้ฉายภาพยนตร์เรื่อง "Insects in the Backyard" ซึ่งกำกับโดย "ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์" เพราะมีเนื้อหาขัดต่อมาตรา 29 ในพ.ร.บ.ภาพยนตร์ พ.ศ. 2551

ด้วยเหตุผลที่ว่าหนังมีเนื้อหาทำลายและขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรืออาจกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของรัฐและเกียรติภูมิของประเทศไทย เช่นบางฉากมีภาพลามกอนาจาร จึงมีความเห็นว่าไม่อนุญาตให้ฉาย
ผ่านมาเกือบ 2 ปี ปัญหาเก่าที่ยังค้างคาใจหลายๆคน ยังไม่ทันจางไปจากความทรงจำของคนดูหนัง ปัญหาที่ยังคงมีการถกเถียงก็เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง


ในวันนี้ (3 เม.ย.) ทีมงานผู้ผลิตได้ออกมาเปิดเผยทางเฟซบุ๊กว่าภาพยนตร์เรื่อง "เชคสเปียร์ต้องตาย" (ShakespeareMustDie) ไม่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการฯให้เผยแพร่ภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งก็คือการได้รับ "เรต ห" หรือ"ห้ามฉาย" นั่นเอง

โดยทีมงานเขียนผ่านสเตตัสว่า














"หนังเรื่องนี้ ไม่ได้รับความเห็นชอบ "ให้ฉาย" จากกรรมการเซ็นเซอร์ จำนวน 7 คนเพราะเกรงว่าคนดูจะแยกไม่ได้ว่า อันไหน "เรื่องจริง" หรือ "เรื่องแต่ง" ก่อนที่จะระบุว่า "เราไม่ได้รับอนุญาต ให้ฉายในราชอาณาจักรไทย" และกล่าวยืนยันว่า "นี่คือ บทหนังที่ถอดมาจาก บทประพันธ์ของเชคสเปียร์ ตัวต่อตัว คำต่อคำ"







































ต่อมาเว็บไซต์ shakespearemustdie.com ได้ เผยแพร่บันทึกการตรวจพิจารณาภาพยนตร์เรื่อง "เชคสเปียร์ต้องตาย" ซึ่งกรรมการ 4 คนจากคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ คณะที่ 3 ที่ลงนามในมติห้ามเผยแพร่หนังเรื่องนี้ในราชอาณาจักร เพราะมีเนื้อหาก่อให้เกิดการแตกสามัคคีระหว่างคนในชาติ ประกอบไปด้วย พล.ต.ต.เอนก สัมพลัง ประธานคณะกรรมการ, นายเขมชาติ เทพไชย กรรมการ, นายวีระชัพ ทรัพยวณิช กรรมการ และนายมานิตย์ ชัยมงคล กรรมการและเลขานุการ ขณะที่กรรมการอีก 3 ราย ที่ไม่ได้ลงนามในมติดังกล่าว ได้แก่ นางสุวณา สุวรรณจูฑะ, นายอนุชา ทีรคานนท์ และนายสามารถ จันทร์สูรย์


ทั้งนี้ เฟซบุ๊ก Bioscope Magazine ได้ตัดทอนข้อความตามเอกสารการพิจารณาบางส่วนมาเผยแพร่ดังนี้
วาระการพิจารณา:

คณะกรรมการฯ พิจารณาเห็นว่า ภาพยนตร์เรื่อง เชคสเปียร์ต้องตาย (SHAKESPEARE MUST DIE) มีเนื้อหาที่ก่อให้เกิดการแตกความสามัคคีระหว่างคนในชาติ ตามกฏกระทรวงกำหนดลักษณะของประเภทภาพยนตร์ พ.ศ.๒๕๕๒ ข้อ ๗ (๓)

จึงมีมติ ไม่อนุญาต โดยจัดเป็นประเภทภาพยนตร์ที่ห้ามเผยแพร่ในราชอาณาจักร ตามมาตรา ๒๖ (๗) แห่งพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. ๒๕๕๑
โดยในเว็บไซต์ของภาพยนตร์กล่าวอย่างเด่นชัดว่า"ภาพยนตร์ ขนาดยาว เนื้อหาอิงจากบทประพันธ์ของวิลเลียม เชคสเปียร์ นักประพันธ์เอกของโลก ถ่ายทอดในรูปแบบภาพยนตร์ โดยถอดความหมาย "คำต่อคำ" เพื่อคงความสวยงามของภาษากวีโดยใช้ภาษาไทย นับเป็นภาพยนตร์เชคสเปียร์ไทยเรื่องแรก"
รายงานข่าวระบุว่า หลังจากส่งหนังเพื่อให้คณะกรรมการพิจารณาจัดเรตติ้ง ไปตั้งแต่วันพุธที่แล้ว (28 มี.ค.) จนกระทั่งวานนี้ (2 เม.ย.) คณะกรรมการพิจารณาฯ ดูหนังไปแล้วถึงสามรอบ แต่ก็ยังไม่สามารถพิจารณาได้ ขณะที่ผู้สร้างก็ไม่ยอมตัดทอนส่วนใดส่วนหนึ่งออกจากห



ทั้งนี้ในเว็บไซต์ของสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยระบุเรื่องย่อของภาพยนตร์เรื่องนี้ไว้ว่า
"เรื่องราวแห่งการเมืองและไสยศาสตร์ ที่แปลเป็นไทยอย่างซื่อตรงต่อต้นฉบับละคร “โศกนาฏกรรม แม็ตเบธ” ของวิลเลี่ยมเชคสเปียร์ กวีเอกของโลก โดยมีการดัดแปลงเพื่อให้เป็นภาษาภาพยนตร์ และเข้ากับบริบทของวัฒนธรรมไทย หนังผีเชคสเปียร์เรื่องนี้ดำเนินไปพร้อม ๆ กันสองโลก ในโลกของโรงละคร โลกของขุนพลกระหายเลือด มักใหญ่ใฝ่สูง งมงามในไสยศาสตร์ ผู้สถาปนาตนเองขึ้นเป็นราชาโดยการฆาตกรรม และโลกภายนอก ในชีวิตร่วมสมัยของนักปกครองเผด็จการของประเทศสมมุติแห่งหนึ่ง ผู้ที่งมงายในไสยศาสตร์ โหดเหี้ยมบ้าอำนาจ ซึ่งมีชื่อเรียกว่าท่านผู้นำ และภริยาไฮโซน่าสะพรึงกลัวของท่าน เหตุการณ์ต่าง ๆ ในสองโลกแฝดนี้ ส่องสะท้อนเข้าหากัน ค่อย ๆ เริ่มซึมเข้าหากัน จนกระทั่งสุดท้ายมันประสานงากันอย่างรุนแรง และโหดร้าย เมื่อคณะละครต้องชดใช้ด้วยชีวิต โทษฐานอุตริแสดงละครเรื่องนี้ในสังคมที่ปกครองโดยมนุษย์ เช่นท่านผู้นำ พวกเขาคิดอย่างไรที่จะต่อสู้กับความกลัวด้วยศิลปะ"



ล่าสุด มานิต ศรีวานิชภูมิ ในฐานะผู้อำนวยการสร้างได้ออกคำชี้แจง "แถลงข่าวเรื่อง หนังไทยเชคสเปียร์โดนแบนโดยรัฐบาลไทย" ในเว็บไซต์ shakespearemustdie.com ซึ่งมีใจความดังนี้:

วันที่ 3 เมษายน 2555

บ่ายวันนี้ คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์ (กองเซ็นเซอร์) ในกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ภายใต้รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีมติสั่งห้ามฉาย ‘เชคสเปียร์ต้องตาย’ ภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายที่ได้รับทุนสร้างจากกองทุนส่งเสริมภาพยนตร์ของ สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย (สศร.) กระทรวงวัฒนธรรม ภายใต้โครงการไทยเข้มแข็งของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในปี 2553 ซึ่งเพิ่งสร้างเสร็จและเข้าตรวจพิจารณาปีนี้

ตามเอกสารบันทึกการตรวจ พิจารณาภาพยนตร์ (แนบมาใน attachment) : “คณะกรรมการฯ พิจารณาเห็นว่า ภาพยนตร์เรื่องเชคสเปียร์ต้องตาย (Shakespeare Must Die) มีเนื้อหาที่ก่อให้เกิดการแตกความสามัคคีระหว่างคนในชาติ ตามกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของประเภทภาพยนตร์ และวีดิทัศน์ พ.ศ. 2552 ข้อ 7 (3)

“จึงมีมติไม่อนุญาต โดยจัดเป็นประเภทภาพยนตร์ที่ห้ามเผยแพร่ในราชอาณาจักร ตามมาตรา 26 (7) แห่งพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวิดีทัศน์ พ.ศ. 2551”

ภาพยนตร์ เรื่อง ‘เชคสเปียร์ต้องตาย’ เป็นภาพยนตร์ไทยที่สร้างขึ้นจากบทละคร ‘โศกนาฏกรรมแม็คเบ็ธ’ (The Tragedy of Macbeth) ของ วิลเลียม เชคสเปียร์ (William Shakespeare) กวีเอกของโลก เป็นเรื่องราวของขุนพลที่มักใหญ่ใฝ่สูงอย่างไร้ขอบเขต และคลั่งไคล้ในไสยศาสตร์ เมื่อมีแม่มดมาทักว่าจะได้เป็นกษัตริย์ในภายหน้า และโดยการยุยงของภรรยา เขาสังหารพระราชาเพื่อสถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์ แม็คเบ็ธปกครองแผ่นดินด้วยความบ้าอำนาจ พาให้บ้านเมืองตกอยู่ในยุคมืดมนแห่งความหวาดกลัว โดยที่ตัวเขาเองก็ปราศจากความสุข ต้องใช้ความรุนแรงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพื่อรักษาอำนาจของตน

อนึ่ง ละครเรื่องแม็คเบ็ธนี้ เมื่อปีที่แล้วได้มีการจัดแสดงโดยคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ ‘แม็คเบ็ธ’ นั้น บรรจุอยู่ในหลักสูตรการศึกษาของเด็กมัธยมต้นทั่วโลก (ในทุกประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ) มาเป็นเวลาหลายชั่วคน และได้ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์มาแล้วหลายครั้ง รวมทั้งโดยนักทำหนังอินเดีย ญี่ปุ่น และจีน เป็นต้น

เหตุการณ์ นี้ทำให้ผมเห็นว่า เราไม่สามารถพูดถึงเรื่องศีลธรรม ความโลภ ความบ้าอำนาจ ความมักใหญ่ใฝ่สูงอันไร้ขอบเขตกันได้อีกแล้วในประเทศไทย ผู้คนอยู่กันด้วยความกลัว ราวกับว่าอยู่ใต้แม็คเบ็ธในบทละครของเชคสเปียร์จริงๆ มันแปลกประหลาดมากที่องค์กรของกระทรวงวัฒนธรรมลุกขึ้นแบนหนังที่กระทรวง วัฒนธรรมเองเป็นผู้สนับสนุน และกองเซ็นเซอร์ ภายใต้กรมส่งเสริมวัฒนธรรม เห็นควรแบนเชคสเปียร์

ด้วยความนับถือ

มานิต ศรีวานิชภูมิ

ผู้อำนวยการสร้าง ‘เชคสเปียร์ต้องตาย’