Showing posts with label ilaw. Show all posts
Showing posts with label ilaw. Show all posts

บันทึกทาง Twitter จาก ilaw

7.07.2012

0 comments  

จอน: ในสังคมประชาธิปไตย ประชาชนจะรู้จักการควบคุมกันเอง แต่สังคมเผด็จการ รัฐจะเป็นผู้เซ็นเซอร์แทนประชาชน

จอน : ในสังคมเผด็จการ กระทรวงวัฒนธรรมจะสร้างวัฒนธรรมของตัวเอง ซึ่งขัดกับวัฒนธรรมตามธรรมชาติของคน

จอน: ในสังคมประชาธิปไตย กระทรวงวัฒนธรรมมีหน้าที่ส่งเสริมวัฒนธรรม สนับสนุนวัฒนธรรมของคนส่วนน้อยให้ได้รับการเผยแพร่ให้เกิดความเท่าเทียมในสังคม

จอน: ผมคิดว่าความแตกต่างระหว่างสังคมประชาธิปไตยกับสังคมเผด็จการคือเรื่องที่เราคุยกันอยู่ (เรื่องการเซ็นเซอร์หนัง)

บรรจง อาจารย์สอนภาพยนตร์ ม.เกษมบัณฑิตสนับสนุนการแก้ไขพรบ.ภาพยนตร์ และอยากให้มีองค์กรแบบสภาภาพยนตร์ ดูแลกันเอง

มานิตเสนอว่า อยากให้แก้กฎหมาย กำหนดให้ภาพยนตร์เป็น" สื่อ" ยกเลิกการแบนหนัง และมีองค์กรวิชาชีพดูแลกันเอง

(ต่อ) สุรศักดิ์ สรรพิทักษ์เสรี ตัวแทนจากกท.วัฒนธรรม: ปีที่ผ่านมา หนังไทยส่งคณะกรรมการภาพยนตร์ปีละราว 50 เรื่อง ถูกแบนแค่ปีละเรื่องสองเรื่อง

สุรศักดิ์ สรรพิทักษ์เสรี ตัวแทนจากกท.วัฒนธรรม กล่าวว่า ปีที่ผ่านมา หนังเทศส่งเข้าคณะกก.ภาพยนตร์ปีละราว 2,000 เรื่องถูกแบน 17 เรื่อง (มีต่อ)

ชลิดา: คนในกฤษฎีกาก็บอกว่า ถึงแม้ท่านจะใส่ซีดีไม่เป็น แต่ก็รู้ว่าหนังคืออะไร

ชลิดา: หลายคนในกฤษฎีกาเห็นว่า ต้องมีกฎหมายแบบกันไว้ดีกว่าแก้ ต่อให้มีกฎหมายอื่นๆ ก็ไม่พอ เพราะหนังนั้นมันได้ออกไปทำร้ายผู้คนแล้ว

ชลิดา เอื้อบำรุงจิต ผอ.มูลนิธิหนังไทยเล่ากระบวนการร่างพรบ.ภาพยนตร์ว่า กฤษฎีกาเป็นส่วนสำคัญที่เปลี่ยนเนื้อหากฎหมายให้เป็นแบบที่ไม่ต้องการ

ก้อง ฤทธิ์ดี ผู้กำกับหนังและสื่อ: มันตลกดีเวลานี้เรายังมาพูดเรื่องเซ็นเซอร์ ยังจะมาห้ามอะไรในเมื่อยกโทรศัพท์ขึ้นมาก็ดูได้ทุกอย่างในโลกแล้ว

ภาณุ อารี ผกก.หนังสารคดี:การตัดสินหนังด้วยเรื่องมั่นคงและศีลธรรมคือวิธีคิดเมื่อ70ก่อน สังคมเปลี่ยนไปมากแต่ทัศนะของคนมีอำนาจยังเหมือนเดิม

ปรัชญา ปิ่นแก้ว: มันเหมือนเป็นอุบัติเหตุในการเขียนรัฐธรรมนูญ เหมือนใครคนหนึ่งลืมพิมพ์คำว่าภาพยนตร์ลงไป แล้วภาคราชการก็ทำงานตามตัวอักษร

ในวงเสวนาตั้งประเด็นว่า ภาพยนตร์เป็นสื่อหรือไม่ คนทั่วไปอาจคิดว่ามันเป็นสื่อ แต่ในรัฐธรรมนูญ 2550 มาตราเกี่ยวกับสื่อ ไม่มีคำว่า "ภาพยนตร์"

สมานรัชฎ์: เราอยากจะทำหนังให้คนรู้จักคิดและไม่ถูกชักจูงได้ง่าย แต่รัฐก็ต้องการเก็บกฎหมายนี้เพื่อชวนเชื่อและให้จูงจมูกได้ง่าย

สมานรัชฎ์: เรามีภาพยนตร์โฆษณาที่ชวนเชื่อ จงทำดี ต้องไปวัด แต่เราไม่มีภูมิต้านทานอะไรเลย

สมานรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ ผู้กำกับภาพยนตร์: ตราบใดที่จินตนาการของภาพยนตร์ไทยยังถูกจำกัดสิทธิขนาดนี้ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะมีประชาธิปไตย

มานิต:ท่านบอกว่าหนังผมผิดศีลธรรมแต่บอกไม่ได้ว่าผิดศีลธรรมตรงไหน ท่านกำลังเสียศีลธรรมของตนเอง บอกว่าเสียเกียรติภูมิของประเทศแต่ก็อธิบายไม่ได้

มานิต ศรีวานิชภูมิ ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องเช็คสเปียร์ต้องตาย: ทำหนังสักเรื่องใช้เวลา3-4ปี ส่งตรวจแล้วห้ามฉาย ได้กระดาษแผ่นเดียว...

บรรจง: หากเป็นภาพยนตร์ไทยก็ให้กระทรวงวัฒนธรรมดู และหากเป็นภาพยนตร์ต่างชาติ ก็ให้กระทรวงท่องเที่ยว

อ.บรรจงกล่าวว่า พรบ.ภาพยนตร์ให้อำนาจหน่วยงานราชการที่ไม่มีความรู้ความชำนาญมาทำงาน

บรรจง: ในความเห็นของผม ถ้าพรบ.ภาพยนตร์ ยังมีมาตรา 29 (มาตราให้อำนาจคระกรรมการภาพยนตร์สั่งไม่อนุญาตให้ฉาย) กฎหมายนี้ก็แทบไม่ต่างจากกฎหมายเก่า

บรรจง โกศัลวัฒน์ อาจารย์สาขาภาพยนตร์กล่าวว่า ถ้าจะให้กฎหมายมีมาตราเกี่ยวกับการห้ามฉาย ก็ควรเขียนให้ชัดไม่คลุมเครือ

จอน: พรบ.ภาพยนตร์ล้าสมัยตรงที่กำหนดให้หน่วยราชการมาตรวจหนัง ซึ่งธรรมชาติของราชการ อะไรที่ไม่ตรงใจ ดูไม่รู้เรื่อง ก็จะไม่อยากให้ฉาย

จอน: สิ่งที่ดีในพรบ.ภาพยนตร์ คือเริ่มใช้ระบบเรทติ้ง แต่ที่แย่คือ ยังเปิดให้เซ็นเซอร์และแบนก่อนฉายได้

จอน: ตัวอย่างหนึ่งคือ พรบ.ภาพยนตร์กำหนดว่า ถ้าชาวต่างชาติจะมาถ่ายหนังในไทย ก็ต้องขออนุญาตก่อน

จอน อึ๊งภากรณ์ ในฐานะอนุกรรมการสิทธิพลเมืองกล่าวว่า พ.ร.บ.ภาพยนตร์ที่ยังเปิดให้มีการเซ็นเซอร์ ถือเป็นเรื่องล้าสมัยมาก

ตอนนี้ iLaw อยู่ในงานเสวนาเรื่อง พ.ร.บ.ภาพยนตร์ 2551 ขัดขวางสิทธิเสรีภาพของผู้ชมและผู้สร้างภาพยนตร์หรือไม่ ศึกษาจากภาพยนตร์ห้ามฉาย"