จอน: ในสังคมประชาธิปไตย ประชาชนจะรู้จักการควบคุมกันเอง แต่สังคมเผด็จการ รัฐจะเป็นผู้เซ็นเซอร์แทนประชาชน
จอน : ในสังคมเผด็จการ กระทรวงวัฒนธรรมจะสร้างวัฒนธรรมของตัวเอง ซึ่งขัดกับวัฒนธรรมตามธรรมชาติของคน #thaifilm
จอน: ผมคิดว่าความแตกต่างระหว่างสังคมประชาธิปไตยกับสังคมเผด็จการคือเรื่องที่เราคุยกันอยู่ (เรื่องการเซ็นเซอร์หนัง) #THAIFILM
มานิตเสนอว่า อยากให้แก้กฎหมาย กำหนดให้ภาพยนตร์เป็น" สื่อ" ยกเลิกการแบนหนัง และมีองค์กรวิชาชีพดูแลกันเอง #Thaifilm
ชลิดา: คนในกฤษฎีกาก็บอกว่า ถึงแม้ท่านจะใส่ซีดีไม่เป็น แต่ก็รู้ว่าหนังคืออะไร#THAIFILM
ชลิดา: หลายคนในกฤษฎีกาเห็นว่า ต้องมีกฎหมายแบบกันไว้ดีกว่าแก้ ต่อให้มีกฎหมายอื่นๆ ก็ไม่พอ เพราะหนังนั้นมันได้ออกไปทำร้ายผู้คนแล้ว #THAIFILM
สมานรัชฎ์: เราอยากจะทำหนังให้คนรู้จักคิดและไม่ถูกชักจูงได้ง่าย แต่รัฐก็ต้องการเก็บกฎหมายนี้เพื่อชวนเชื่อและให้จูงจมูกได้ง่าย #THAIFILM
สมานรัชฎ์: เรามีภาพยนตร์โฆษณาที่ชวนเชื่อ จงทำดี ต้องไปวัด แต่เราไม่มีภูมิต้านทานอะไรเลย #THAIFILM
สมานรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ ผู้กำกับภาพยนตร์: ตราบใดที่จินตนาการของภาพยนตร์ไทยยังถูกจำกัดสิทธิขนาดนี้ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะมีประชาธิปไตย#thaifilm
บรรจง: หากเป็นภาพยนตร์ไทยก็ให้กระทรวงวัฒนธรรมดู และหากเป็นภาพยนตร์ต่างชาติ ก็ให้กระทรวงท่องเที่ยว #THAIFILM
อ.บรรจงกล่าวว่า พรบ.ภาพยนตร์ให้อำนาจหน่วยงานราชการที่ไม่มีความรู้ความชำนาญมาทำงาน #thaifilm
บรรจง โกศัลวัฒน์ อาจารย์สาขาภาพยนตร์กล่าวว่า ถ้าจะให้กฎหมายมีมาตราเกี่ยวกับการห้ามฉาย ก็ควรเขียนให้ชัดไม่คลุมเครือ #thaifilm
จอน: พรบ.ภาพยนตร์ล้าสมัยตรงที่กำหนดให้หน่วยราชการมาตรวจหนัง ซึ่งธรรมชาติของราชการ อะไรที่ไม่ตรงใจ ดูไม่รู้เรื่อง ก็จะไม่อยากให้ฉาย#thaifilm
จอน: สิ่งที่ดีในพรบ.ภาพยนตร์ คือเริ่มใช้ระบบเรทติ้ง แต่ที่แย่คือ ยังเปิดให้เซ็นเซอร์และแบนก่อนฉายได้ #thaifilm
จอน: ตัวอย่างหนึ่งคือ พรบ.ภาพยนตร์กำหนดว่า ถ้าชาวต่างชาติจะมาถ่ายหนังในไทย ก็ต้องขออนุญาตก่อน #thaifilm
จอน อึ๊งภากรณ์ ในฐานะอนุกรรมการสิทธิพลเมืองกล่าวว่า พ.ร.บ.ภาพยนตร์ที่ยังเปิดให้มีการเซ็นเซอร์ ถือเป็นเรื่องล้าสมัยมาก #thaifilm
ตอนนี้ iLaw อยู่ในงานเสวนาเรื่อง พ.ร.บ.ภาพยนตร์ 2551 ขัดขวางสิทธิเสรีภาพของผู้ชมและผู้สร้างภาพยนตร์หรือไม่ ศึกษาจากภาพยนตร์ห้ามฉาย"